It's me

ภาพถ่ายของฉัน
RedAngel
Bangkok, Bangkok, Thailand
Low profile, High profit.
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน

Visitor

My Time

30.12.51


Ecopolis: it’s not a real city, but it is a realistic vision of what our cities might be like by the year 2050. And it’s not pretty – the computer-generated megacity Ecopolis is dirty, polluted, running out of food, water and fuel, and prone to blackouts.


Discovery Channel’s ground breaking six-part series Ecopolis takes a look at key data and a possible model that experts have come up with for urban life in 2050. Hosted by Professor Dan Kammen, “Ecopolis” will address various threats to the future city and takes a look at possible solutions. Ecopolis premieres on Discovery Channel’s Planet Green block every Wednesday at 2200 hours (10:00 pm PHL), starting December 3. Encores on Thursday at 0100 hours (1:00 am) and Sunday at 0300 hours (3:00 am).


Professor Dan Kammen is a Berkeley Energy Professor and key member of a Nobel-prize winning team of scientists that advises governments on climate change. Dan Kammen is one of the world’s leading thinkers on climate change and how to avoid it. As a key author of the report for the UN’s Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC), his ground-breaking research was recently awarded the Nobel Peace Prize by the Nobel Committee.


Kammen is convinced that renewable energy alternatives will play a critical role in world energy markets of the future, and he has briefed decision-makers at the highest level, from the US House and Senate committees, to International Development agencies and the World Bank. He is determined that the world’s fuel mix be reversed to reduce our reliance on fossil fuels and avert climate change. Clearly, he is a man on a mission.


On “Ecopolis,” Dan will examine the various environmental problems that we might face as we head into the future – such as food and water shortages, depletion of oil reserves and fossil fuels, pollution, and energy-inefficient buildings. In each of the first five episodes, he will be presented with four competing technologies that could solve the problem addressed. Helped by number-crunchers from green think-tank The Centre for Alternative Technology, Dan must choose just one winning idea to deploy in the future city – without trashing the planet. In the sixth and final episode, Dan will put the top five technologies from the series in a head-to-head contest to find the single innovation with the greatest potential to transform the imaginary “Ecopolis.”


Find out about the revolutionary technologies that could rewrite the future – from atomising garbage at extreme temperatures and utilising the resulting gases as fuel, to harnessing photovoltaic solar energy that could transform the buildings of “Ecopolis” into mini power-stations, these solutions just might be able to turn future cities into places we can look forward to living in.


For the first episode which premieres this Wednesday, December 3 at 2200 hours (10:00pm SIN/HK), “Ecopolis” talks about the “Hungry City.”


As people move into cities and earn more, they eat more exotic produce, and high protein food like meat and dairy. Today, the average bite of food travels 1500 miles, racking up carbon emissions in the process. By 2050, food will have to travel even further, and fresh water will be in short supply. And these aren’t the only problems that cities like “Ecopolis” will face. Meat and dairy products are one of the fastest growing sources of dangerous methane emissions. So how can we solve this impending food and water crisis?


Find out on the first episode of “Ecopolis” this December 3 the four future-thinking food and water technologies Urban Farming, Methane Capture, Sound Powered Refrigeration, and Recycled Water.


Discovery Channel, the flagship network of Discovery Communications, is devoted to creating the highest quality non-fiction programming in the world and remains one of the most dynamic networks on television. First launched in 1985, Discovery Channel now reaches more than 154 million households in Asia-Pacific.


'อีโคโปลิส' พลังขับเคลื่อนอนาคต

อากาศปรวนแปรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีทีท่าว่าจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ความพยายามในการพยุงชีวิตของโลกใบนี้ต่อไปจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน


นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ศ.แดน แคมเมน จำลอง อีโคโปลิส มหานครแห่งอนาคต พิมพ์เขียวที่เป็นไปได้สำหรับชีวิตในเมืองในปี 2050 ขึ้น ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทำนายว่า ร้อยละ 75 ของคนบนโลกจะอยู่อาศัยในเมืองที่มีลักษณะแบบนี้


พลเมืองอีโคโปลิสจะใช้พลังงานมากกว่าในปัจจุบันสามเท่า และผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าห้าเท่า ความเสียหายของสิ่งแวดล้อม อาจจะแก้ไขให้ดีเหมือนเดิมไม่ได้ ดังนั้นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กำลังเผชิญโลกของเราคือการหาแหล่งพลังงานที่สะอาด


ทุกวันนี้มีแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำอยู่แล้วคือปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น แต่อุบัติเหตุอย่างที่เกิดขึ้นที่เชอร์โนบิล ตลอดจนปัญหาในการจัดเก็บกากนิวเคลียร์ให้ปลอดภัยก็ยังทำให้ตัวเลือกนี้น่าสงสัย


เป็นเวลากว่า 50 ปีที่ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นกลายเป็นความฝันของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน นี่คือวิธีที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย และถูก ในการปลดปล่อยพลังงานที่มีปริมาณมหาศาล มันเป็นกระบวนการที่ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆ ส่องแสงร้อนแรงในจักรวาล ปัญหาก็คือเราจะทำให้เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้หรือไม่


ในชนบทของประเทศอังกฤษ ที่ห้องปฏิบัติการเจ็ต ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกำลังพยายามสร้างพลังงานในระดับเดียวกับดวงอาทิตย์ขึ้นที่นี่โดยโทคามัค เตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นต้นแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อที่จะสร้างปฏิกิริยาฟิวชั่นขึ้นในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้ไฮโดรเจนชนิดพิเศษที่สามารถหลอมตัวได้ง่ายขึ้น ข่าวดีก็คือแหล่งเชื้อเพลิงนี้มีอยู่ทั่วไป คุณสามารถพบมันได้ในบ้านของคุณ มันคือ ไทรเตียม ซึ่งสกัดจากลิเทียมโลหะที่ใช้ทำแบตเตอรี่นั่นเอง ในขณะที่ดิวทีเรียมก็ได้มาจากน้ำธรรมดา ๆ


ในทางทฤษฎี เชื้อเพลิงชนิดนี้หนึ่งคันรถบรรทุกอาจจะให้พลังงานแก่อีโคโปลิสได้ถึงหนึ่งทศวรรษ นั่นก็หมายถึงจะมีกากนิวเคลียร์น้อยกว่า การใช้ปฏิกิริยาฟิวชั่นธรรมดามาก เช่นเดียวกับการแผ่รังสีอันตรายที่จะเกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยว นิดเดียว แต่การทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นก็ไม่ใช่กระบวนการง่าย ๆ


ดวงอาทิตย์ สุดยอดสถานีพลังงานธรรมชาติ คือ เตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นขนาดใหญ่ยักษ์ ประกอบด้วยพลาสมาซึ่งเป็นทะเลเรืองแสงของอนุภาคประจุไฟฟ้า มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ ลึกเข้าไปในแกนกลางดวงอาทิตย์ แรงโน้มถ่วงจะบีบพลาสมาและทำให้ร้อนที่อุณหภูมิ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ ภายใต้สภาวะสุดโต่งนี้ อนุภาคไฮโดรเจนจะบีบอัดเข้าหากันและหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นธาตุใหม่คือฮีเลียม และปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา


ทีมเจ็ตต้องเร่งความร้อนขึ้นจนถึง 270 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ หรือร้อนกว่าใจกลางดวงอาทิตย์สิบเท่า โดยต้องรักษาระดับอุณหภูมินี้ไว้และแน่ใจว่าพลาสมาจะไม่ลามไปถึงด้านที่เป็นเหล็กกล้าของเตาปฏิกรณ์โทคามัค เพราะมันจะทำให้พลังงานความร้อนกระจัดกระจาย และยุติปฏิกิริยาฟิวชั่นลง ในที่สุด


แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำให้อนุภาคพลาสมาร้อนจัดวิ่งเข้าหากันด้วยความเร็ว 10,000 ไมล์ต่อวินาที กระทบกันแล้วหลอมรวมเข้าด้วยกัน เหมือนกับที่เกิดในดวงอาทิตย์ จนเกิดก๊าซฮีเลียมและพลังงานความร้อนปริมาณที่สุดจะคำนวณได้ แต่การที่พลาสมาเผาไหม้ทำให้ขดลวดแม่เหล็กต้องทำงานหนัก และถ้าร้อนจนเกินขีดก็จะหลอมละลายในที่สุด เตาปฏิกรณ์โทคามัคสามารถเดินเครื่องได้ประมาณ 30 วินาที


ทีมเจ็ตอาจจะทำให้เกิดพลังในระดับเดียวกับดาวฤกษ์ได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำให้มันอยู่ได้นาน และตั้งแต่ทดลองมา เตาปฏิกรณ์ไม่เคยเดินเครื่องอยู่ได้นานพอที่จะปลดปล่อยพลังงานออกมาให้สมกับพลังงานที่ใช้ไปได้ เครื่องไอเทอร์ เตาปฏิกรณ์ขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าสิบเท่า แม่เหล็กพลังสูงของไอเทอร์เก็บความร้อนของพลาสมาได้มีประสิทธิภาพกว่าและทนต่ออุณหภูมิที่สูงกว่าจึงน่าจะเป็นความหวังที่อาจเป็นไปได้


แต่การหวังที่พลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งอาจส่งผลเสียในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์จึงมองไปที่โรงไฟฟ้าลอยฟ้าขนาดเล็กสำหรับบ้านทุกหลังคาเรือนที่เราใช้ประโยชน์จากลมมาหลายพันปีแล้วในพื้นที่ชนบท แต่สำหรับในเมืองที่ลมไม่ค่อยจะพัดผ่านอาจเป็นเรื่องยาก แม้ในที่สุดพวกเขาจะทำจนสำเร็จแต่ศูนย์คาร์บอนระบุว่า มันจะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้เพียงร้อยละ 0.13 เท่านั้น


การนำพลังงานจากถ่านหินซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นพลังงานสกปรก ณ วันนี้ เพราะแต่ละปีโรงไฟฟ้าถ่านหินจะปล่อยกำมะถันซึ่งทำให้เกิดฝนกรดถึง 10,000 ตัน นอกจากนี้ยังมีไนโตรเจนอีก 10,000 ตัน ก๊าซพิษที่ทำให้เกิดควันเผาปอด และที่ร้ายกาจที่สุดก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 4 ล้านตัน


ห้องกักเก็บคาร์บอนที่สมบูรณ์แบบใต้พื้นผิวโลกในชั้นหินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซธรรมชาติ ชั้นหินหนาทึบที่กักก๊าซธรรมชาติเอาไว้นับล้านปีจนกระทั่งถูกค้นพบและขุดเจาะนำไปทำเป็นเชื้อเพลิง จึงอาจจะเปลี่ยนสภาพมาเป็นสุสานของคาร์บอนไดออกไซด์ในที่สุด ซึ่งหากนี่เป็นหนทางที่เป็นไปได้ การดักจับและจัดเก็บคาร์บอนอาจจะลดการปล่อยคาร์บอนจากพลังงานที่ใช้ลงได้มากถึงร้อยละ 83 มากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ช่วยลดคาร์บอนได้เพียงร้อยละ 13


ติดตามชมสารคดีใหม่ 6 ตอนจบชุด Ecopolis : Powering The Future ได้ในดิสคอฟเวอรี แชนแนล พุธที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 22.00 น. ทางทรูวิชั่นส์ 51.

Cold Sore Virus Linked To Alzheimer's Disease

เขียนโดย RedAngel ที่ 08:53

21.12.51

The virus behind cold sores is a major cause of the insoluble protein plaques found in the brains of Alzheimer's disease sufferers, University of Manchester researchers have revealed.

They believe the herpes simplex virus is a significant factor in developing the debilitating disease and could be treated by antiviral agents such as acyclovir, which is already used to treat cold sores and other diseases caused by the herpes virus. Another future possibility is vaccination against the virus to prevent the development of the disease in the first place.

Alzheimer's disease (AD) is characterised by progressive memory loss and severe cognitive impairment. It affects over 20 million people world-wide, and the numbers will rise with increasing longevity. However, despite enormous investment into research on the characteristic abnormalities of AD brain - amyloid plaques and neurofibrillary tangles - the underlying causes are unknown and current treatments are ineffectual.

Professor Ruth Itzhaki and her team at the University's Faculty of Life Sciences have investigated the role of herpes simplex virus type 1 (HSV1) in AD, publishing their very recent, highly significant findings in the Journal of Pathology.

Most people are infected with this virus, which then remains life-long in the peripheral nervous system, and in 20-40% of those infected it causes cold sores. Evidence of a viral role in AD would point to the use of antiviral agents to stop progression of the disease.

The team discovered that the HSV1 DNA is located very specifically in amyloid plaques: 90% of plaques in Alzheimer's disease sufferers' brains contain HSV1 DNA, and most of the viral DNA is located within amyloid plaques. The team had previously shown that HSV1 infection of nerve-type cells induces deposition of the main component, beta amyloid, of amyloid plaques. Together, these findings strongly implicate HSV1 as a major factor in the formation of amyloid deposits and plaques, abnormalities thought by many in the field to be major contributors to Alzheimer's disease.

The team had discovered much earlier that the virus is present in brains of many elderly people and that in those people with a specific genetic factor, there is a high risk of developing Alzheimer's disease.

The team's data strongly suggest that HSV1 has a major role in Alzheimer's disease and point to the usage of antiviral agents for treating the disease, and in fact in preliminary experiments they have shown that acyclovir reduces the amyloid deposition and reduces also certain other feature of the disease which they have found are caused by HSV1 infection.

Professor Itzhaki explains: "We suggest that HSV1 enters the brain in the elderly as their immune systems decline and then establishes a dormant infection from which it is repeatedly activated by events such as stress, immunosuppression, and various infections.

"The ensuing active HSV1 infection causes severe damage in brain cells, most of which die and then disintegrate, thereby releasing amyloid aggregates which develop into amyloid plaques after other components of dying cells are deposited on them."

Her colleague Dr Matthew Wozniak adds: "Antiviral agents would inhibit the harmful consequences of HSV1 action; in other words, inhibit a likely major cause of the disease irrespective of the actual damaging processes involved, whereas current treatments at best merely inhibit some of the symptoms of the disease."

The team now hopes to obtain funding in order to take their work further, enabling them to investigate in detail the effect of antiviral agents on the Alzheimer's disease-associated changes that occur during HSV1 infection, as well as the nature of the processes and the role of the genetic factor. They very much hope also that clinical trials will be set up to test the effect of antiviral agents on Alzheimer's disease patients.

แผลพุพองเป็นลางบอกเหตุ สงสัยจะเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

นักวิจัยได้หลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่า การเกิดแผลพุพองที่ริมฝีปาก ทำให้เจ้าตัวตกอยู่ในความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ของอังกฤษกล่าวว่า ไวรัสที่ทำให้เป็นเริม เป็นตัวการใหญ่ ทำให้เกิดคราบโปรตีนจับที่สมอง ดังที่พบอยู่ในผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ในทางตรงกันข้าม การค้นพบก็ทำให้รู้ว่าพวกยาต้านไวรัส ที่ใช้รักษาแผลพุพองเหล่านั้น ก็อาจใช้ในการป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน
ศาสตราจารย์รูธ อิตซากี้ กับคณะ ได้ค้นพบหลักฐานดีเอ็นเอ อันเป็นสารพันธุกรรมของไวรัสเริม แบบที่ 1 ใน คราบสมองของ ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมถึงร้อยละ 90 และได้สรุปว่า การค้นพบส่อให้เห็นอย่างแข็งแรงว่า ไวรัสที่ทำให้เกิดแผลพุพอง เป็นสาเหตุอันเป็นรากฐานของโรคสมองเสื่อม

อาจารย์รูธอธิบายให้ฟังว่า “เราเชื่อว่าเชื้อไวรัสเริมแบบที่ 1 เข้าสู่สมองของผู้สูงอายุ ในยามที่ระบบภูมิคุ้มกันโรคเสื่อมโทรมลง ฝังตัวก่อการอักเสบขึ้นเงียบๆ และเมื่อผู้นั้นเกิดเครียด หรือภูมิคุ้มโรคอ่อนแอลง ก็จะไปปลุกมันขึ้นหนแล้วหนเล่า”.

Skinny models don't necessarily sell more products

เขียนโดย RedAngel ที่ 03:45

25.11.51

Advertising that uses super-thin models does not make women more likely to buy products than ads featuring women who are of a more healthy weight, according to research by an Australian academic.
Do skinny models sell more products? **Vote** and have your say in our poll.
Phillippa Diedrichs, of the University of Queensland, created a series of ads

The Sydney Morning Herald reports that when Diedrichs showed the ads to 400 young people, she found no difference in the likelihood of respondents buying the advertised products depending on whether they had seen the skinnier ad or the one showing the bigger woman.

She did report, however, that women aged between 18 and 25 felt better about their own body image if they had viewed the images of the larger models than those shown the thinner women.
She told the SMH: "For anything to change, research has to be convincing not just to government and health researchers but also to people in advertising who actually make the decisions. Often people make the argument that thinness sells, and that's why they use [slim models]."

Unilever brand Dove has also made a big deal of its campaign using "real women" and highlighting how much imagery in advertising is manipulated.

The company has subsequently been criticised for using more traditional imagery to promote other brands, such as Lynx/Axe deodorant, which feature a succession of skinny models.
There have been concerted campaigns to cut back on the use of ultra-thin "size zero" models, with fashion weeks in Madrid and Milan attempting to ensure that all the models appearing on the catwalk are of a weight that is deemed healthy by the Body Mass Index measure.
However, fashion editors maintain that they must use thin models because clothing companies supply samples in small sizes.

หมดยุคของนางแบบเอวบาง ศึกษาพบนางแบบผอมไม่ชวนซื้อของ

นักจิตวิทยาฟิลิปปา ไดดริชส์ หัวหน้าคณะเปิดเผยผลการศึกษาแสดงว่า ภาพของนางแบบที่ผอมบาง ไม่อาจไปกระตุ้นให้สาวรุ่น คิดที่จะซื้อได้เลย และยิ่งกับสาวที่เป็นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่แล้ว กลับไม่ชอบใจเอาด้วยซ้ำตรงกันข้าม ภาพของนางแบบที่มีน้ำมีนวล กลับให้ผลดีมากกว่า

เขากับคณะได้ทดลอง โดยสร้างภาพโฆษณาสินค้าชุดชั้นใน แชมพูและชุดไปงานเลี้ยงของสตรี โดยใช้นางแบบเอวบางร่างน้อยขนาดไซส์ 8 หนึ่งชุด และนางแบบขนาดไซส์ 12 อีกหนึ่งชุด เอาไปให้สาวรุ่นจำนวน 400 คนดู ปรากฏว่าคนเหล่านั้นไม่ได้แสดงความสนใจว่าจะซื้อหาเลย ครั้นพอเอามาให้สาวรุ่นโต วัยระหว่าง 18-25 ปีให้ดูบ้าง เมื่อเห็นชุดที่ใช้นางแบบที่รูปร่างขนาดใหญ่ขึ้นหน่อย ค่อยเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง.

Bug-Sized Spies

เขียนโดย RedAngel ที่ 03:12



If only we could be a fly on the wall when our enemies are plotting to attack us. Better yet, what if that fly could record voices, transmit video and even fire tiny weapons?

That kind of James Bond-style fantasy is actually on the drawing board. U.S. military engineers are trying to design flying robots disguised as insects that could one day spy on enemies and conduct dangerous missions without risking lives.

"The way we envision it is, there would be a bunch of these sent out in a swarm," said Greg Parker, who helps lead the research project at Wright-Patterson Air Force Base in Dayton. "If we know there's a possibility of bad guys in a certain building, how do we find out? We think this would fill that void."

In essence, the research seeks to miniaturize the Unmanned Aerial Vehicle drones used in Iraq and Afghanistan for surveillance and reconnaissance.

The next generation of drones, called Micro Aerial Vehicles, or MAVs, could be as tiny as bumblebees and capable of flying undetected into buildings, where they could photograph, record, and even attack insurgents and terrorists.

By identifying and assaulting adversaries more precisely, the robots would also help reduce or avoid civilian casualties, the military says.

Parker and his colleagues plan to start by developing a bird-sized robot as soon as 2015, followed by the insect-sized models by 2030.
The vehicles could be useful on battlefields where the biggest challenge is collecting reliable intelligence about enemies.

"If we could get inside the buildings and inside the rooms where their activities are unfolding, we would be able to get the kind of intelligence we need to shut them down," said Loren Thompson, a defense analyst with the Lexington Institute in Arlington, Va.

Philip Coyle, senior adviser with the Center for Defense Information in Washington D.C., said a major hurdle would be enabling the vehicles to carry the weight of cameras and microphones.
"If you make the robot so small that it's like a bumblebee and then you ask the bumblebee to carry a video camera and everything else, it may not be able to get off the ground," Coyle said.
Parker envisions the bird-sized vehicles as being able to spy on adversaries by flying into cities and perching on building ledges or power lines. The vehicles would have flappable wings as a disguise but use a separate propulsion system to fly.

"We think the flapping is more so people don't notice it," he said. "They think it's a bird."
Unlike the bird-sized vehicles, the insect-sized ones would actually use flappable wings to fly, Parker said.

He said engineers want to build a vehicle with a 1-inch wingspan, possibly made of an elastic material. The vehicle would have sensors to help avoid slamming into buildings or other objects.
Existing airborne robots are flown by a ground-based pilot, but the smaller versions would fly independently, relying on preprogrammed instructions.

Parker said the tiny vehicles should also be able to withstand bumps.
"If you look at insects, they can bounce off of walls and keep flying," he said. "You can't do that with a big airplane, but I don't see any reason we can't do that with a small one."
An Air Force video describing the vehicles said they could possibly carry chemicals or explosives for use in attacks.

Once prototypes are developed, they will be flight-tested in a new building at Wright-Patterson dubbed the "micro aviary" for Micro Air Vehicle Integration Application Research Institute.
"This type of technology is really the wave of the future," Thompson said. "More and more military research is going into things that are small, that are precise and that are extremely focused on particular types of missions or activities."

สร้างฝูงแมลงหุ่นยนต์ ปล่อยบินยกโขยงรุมโจมตีข้าศึกในตึก

ทหารช่างสหรัฐฯ กำลังคิดออกแบบหุ่นยนต์รูปแมลง ที่ปล่อยให้บินไปสืบความลับศัตรู และปฏิบัติการเสี่ยงอันตราย โดยไม่ต้องเอาชีวิตของทหารไปเสี่ยงภัยได้
ผู้มีส่วนร่วมในโครงการ นายเกรก ปาร์เกอร์ เปิดเผยว่า “เรามองเห็นว่า จะประดิษฐ์มันขึ้น และปล่อยมันออกไปเป็นฝูงขึ้นได้ในวันหน้า” และเสริมว่า “อย่างเช่น เรารู้ว่ามีผู้ร้ายอยู่ในอาคารหลังหนึ่ง เราจะหาได้อย่างไร เราคิดว่าจะทำได้ด้วยวิธีนี้”

ในทางปฏิบัติแล้ว นักวิจัยคิดจะพยายามย่อขนาดเป้าบินไร้พลขับ ที่ใช้อยู่ในอิรักและ อัฟกานิสถาน ในการบินตรวจตราและตรวจการณ์ ให้มีขนาดเล็กจิ๋ว อย่างเช่นเป้าบินรุ่นใหม่อาจจะมีขนาดโตเท่ากับแมลงภู่ สามารถบินเข้าไปในอาคารโดยไม่มีใครจับได้ ให้ไปถ่ายภาพ บันทึกเสียง และ แม้แต่เข้าโจมตีผู้ก่อการร้าย
นายปาร์เกอร์กับทีมของเขาซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่ฐานทัพอากาศไรท์ แพทเตอร์สัน ที่เมืองเดย์ตัน ตั้งเป้าไว้ว่าจะพัฒนายานหุ่นยนต์บินขนาดเท่ากับนก ให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 และพัฒนาให้ เล็กลงโตเท่าแมลง ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573.

When You Look at a Face, You Look Nose First

เขียนโดย RedAngel ที่ 08:48

2.11.51

While general wisdom says that you look at the eyes first in order to recognize a face, UC San Diego computer scientists now report that you look at the nose first.

The nose may be the where the information about the face is balanced in all directions, or the optimal viewing position for face recognition, the researchers from UC San Diego's Jacobs School of Engineering propose in a paper recently published in the journal Psychological Science.

The researchers showed that people first look just to the left of the center of the nose and then to the center of the nose when trying to determine if a face is one they have seen recently. These two visual "fixations" near the center of the nose are all you need in order to determine if a face is one that you have seen just a few minutes before. Looking at a third spot on the face does not improve face recognition, the cognitive scientists found.

Understanding how the human brain recognizes faces may help cognitive scientists create more realistic models of the brain—models that could be used as tools to train or otherwise assist people with brain lesions or cognitive challenges, explained Janet Hsiao, the first author on the Psychological Science paper and a postdoctoral researcher in the computer science department at UC San Diego.

"The nice thing about models like neural nets is that—unlike computer programs—you can lesion them and they still run, which means you can test them in ways you could never test a human brain," said Garrison Cottrell an author on the paper and a computer science professor at UC San Diego's Jacobs School of Engineering.

"Understanding how the brain works is the greatest mystery facing us in this century and that is just what we are trying to do," said Cottrell, who directs the NSF-funded Temporal Dynamics of Learning Center (TDLC) at UC San Diego.

In the experiments reported in Psychological Science, subjects were shown images of faces they had seen a few minutes prior and images of faces they had never seen. The subjects had to decide in a very short time whether they recognized each face or not. Meanwhile, the researchers used eye tracking technology to monitor where on each face the subjects looked—and how long their eyes stayed at each location.

In particular, the researchers employed an innovative eye tracking approach that allowed them to control how many different places on the face subjects could "fix" their eyes before the image disappeared.

When subjects were allowed to fix their eyes on two different face locations, they performed better on face recognition tasks than when they were given the same amount of time but could only look at one spot on the face. Allowing a third for fourth fixation did not improve performance on face recognition tasks.

In the paper, the authors suggest that "...the second fixation has functional significance: to obtain more information from a different location.

" Cottrell expanded on the idea. "The location of the second fixation, like the first, was almost always near the center of the nose. This means you are just shifting the face you are looking at on your retina a bit. This shift changes which neurons are firing in your retina and therefore changes the neurons in the cortex that the visual pattern goes to.

" Psychological Science paper: "Two Fixations Suffice in Face Recognition," by Janet Hui-wen Hsiao and Garrison Cottrell, Department of Computer Science and Engineering, University of California, San Diego.

http://www.cse.ucsd.edu/~jhsiao/publications/Hsiao-Cottrell-Psych-Science-2008.pdf


คบคนให้ดูตรงที่จมูก จะจำได้ว่าเป็นคนเคยรู้จักกันหรือไม่

นักจิตวิทยาอเมริกันได้ตำรามาว่า คนเราจะมองดูคนหนึ่งคนใดว่า เคยรู้จักหรือไม่ โดยจะดูหน้าบริเวณแถวๆจมูกของผู้นั้น

นักจิตวิทยาเจเนต ฮุยเวน เซียว และแกร์ริสัน คอตเทรลล์ แห่งศูนย์การเรียนรู้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวสรุปว่า ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจมูกคนเราอาจมีฐานะ “เป็นศูนย์กลางของข้อมูล” เป็นศูนย์ของข้อมูลที่อยู่โดยรอบทุกทิศทุกทาง ในการที่จะจำหน้าคนได้

ทั้งคู่ได้ศึกษาโดยใช้เครื่องจับและบันทึกการเคลื่อนไหวของลูกตา เมื่อเวลาให้คนจับตาดูใบหน้าของอาสาสมัคร

นักวิจัยทั้ง 2 ได้รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “จิตวิทยาศาสตร์” ว่า คนเราจะจับตาดู 2 แห่งแรกบนใบหน้าคน อยู่แถวๆจมูก โดยแห่งแรกจะอยู่เหนือขึ้นไปทางข้างจมูกด้านซ้ายเล็กน้อย ซึ่งเคยมีการศึกษาเมื่อก่อนหน้านี้ ส่อว่าเรามักจะจับดูที่ตาคนอื่นก่อน แต่ในการศึกษาครั้งใหม่นี้ ส่อว่าจะยังไม่เป็นเช่นนั้น จนกว่าจะจับตาดูแห่งที่ 3 มาแล้ว ถึงจะมองดูที่ตา.

House With Legs Can Walk. Seriously.

เขียนโดย RedAngel ที่ 03:06

28.10.51

Wouldn't it be nice to have a portable home without the stigma attached to RVs? That's sort of, well, not really, the idea behind this walking house, designed by Danish art collective N55 and MIT engineers. The domicile sits on six hydraulic legs that can move at walking pace over any terrain. The legs are controlled by a computer inside the house, each moves independently and three are always on the ground for stability. The point of it all? Floods! If waters level rise, you just stroll away in your house.

The whole pod is about 10- or 11-feet high (different sources had different stats), contains a living room, toilet, bed, and a kitchen with a wood stove. The point of the whole thing is sustainable living, so the house is solar and wind powered. The whole thing costs just under $50,000, but the designers think it can be made for cheaper to gear it towards people on a modest budget. You may laugh, but according to the news, that could be all of us in like a week.

Seriously, though, we really want to know where you're supposed to park this thing, why it's better than an RV (yes, it's all-terrain but it's slow as hell), and does it come in any other colors? We're partial to something a little lighter. Don't miss the video after the break.


สร้างบ้านอัจฉริยะมีตีน สามารถย้ายเดินหนีน้ำท่วม ได้ด้วยตัวเอง

จิตรกรเดนมาร์กร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์อันมีชื่อเสียงของสหรัฐฯ ออกแบบสร้างบ้านบนเสาสูง 10 ฟุต ติดแผงโซลาร์เซลล์ใช้ไฟฟ้าพลังแสงแดด ซึ่งสามารถเดินเคลื่อนที่หนีภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมไปได้ด้วยตัวเองในภูมิประเทศทุกแห่ง

บ้านมีห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องน้ำ เตียงนอน และเตาทำครัวใช้ฟืน มีส่วนประกอบที่สำคัญ เป็นเสา 6 ต้น ที่นอกจากรับน้ำหนักตัวบ้านแล้ว ยังจะทำหน้าที่เหมือนกับเป็นขาอีกด้วย โดยติดด้วยระบบไฮดรอลิกได้ประกอบขึ้นที่แถบชนบทของแคมบริดเชียร์ ที่ศูนย์ศิลปะไวซิ่ง ในเมืองเบิร์น ของอังกฤษ มันสามารถจะเดินเคลื่อนที่หนีภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัย ได้เองในแทบทุกภูมิประเทศ

คณะผู้ออกแบบ ได้ประมาณว่าต้องใช้งบในการ ก่อสร้างตกหลังละประมาณ 1,290,000 บาท แต่หากสร้างเป็นจำนวนมากอาจจะมีราคาต่ำกว่านี้ได้ นักออกแบบนายหนึ่งบอกว่า “บ้านแบบนี้ไม่เหมาะกับผู้เดินทาง หากเหมาะกับคนที่สนใจในการมีชีวิตแบบเร่ร่อนมากกว่า”.



Brainwave most likely to strike at 10.04pm

เขียนโดย RedAngel ที่ 09:19

23.10.51


Brainwaves are least likely to strike in the afternoon, according to a survey that suggests office workers have little chance of solving problems after lunch.

The least creative time in the day is 4.33pm, with 92 per cent of people admitting to feeling uninspired in the afternoon.

The poll of 1,426 people showed that a quarter of us stay up late burning the midnight oil when seeking inspiration.

Taking a shower is the most popular way of getting our creative juices flowing, with 44 per cent of us heading beneath the nozzle when in need of a mental breakthrough.

It appears that bathrooms have a key role to play in bringing on brainwaves. Greek scientist Archimedes is reported to have shouted "Eureka!" ("I have found it!") after the spillage of water from his bath helped him understand how to measure volume.

The research also showed that 58 per cent of people forget their best ideas by failing to write them down immediately, although women are more successful at keeping note of their brainwaves.

A third of all people polled aged 35 or more choose to write notes on the backs of their hands, the poll by the Crowne Plaza hotel chain showed.

เผยฤกษ์เมื่อสวรรค์บันดาล เกิดนึกความคิดอ่านดีๆขึ้นมาได้เอง

ผลจากการสำรวจความคิดเห็นที่ทำในอังกฤษ เปิดเผยให้ ทราบว่า สวรรค์มักจะบันดาลให้คนเราเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา เมื่อเวลาสี่ทุ่มกับอีก 4 นาที มากที่สุด

ขณะเดียวกัน คนเรามักจะรู้สึกสมองทึบ เมื่อหลังกินข้าวกลางวันเป็นต้นไป บรรดาพนักงานบริษัทธุรกิจต่างๆ พากันบ่นว่า คิดแก้ปัญหาอะไรไม่ออกเลย โดยเฉพาะในช่วงเวลา 14.33 น. มีผู้สารภาพว่า รู้สึกหัวตื้อไปหมดถึงร้อยละ 92

การสำรวจได้ถามความคิดเห็นจากประชาชน 1,426 คนด้วยกัน ส่วนใหญ่เล่าว่ามักจะนอนกันดึกราวเวลาเที่ยงคืน เพราะมันทำให้เกิดความคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้ และถ้าหากยังรู้สึกว่าสมองยังตันอยู่ ก็จะหันเข้าอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวเสีย

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ มีคนเกือบถึงร้อยละ 58 ที่บ่นว่า พอนึกอะไรขึ้นมาได้แล้ว ก็มักจะลืมไปเสีย ลืมที่จะรีบจดเอาไว้ แม้จะมีผู้หญิงมักจะทำกันอยู่มากกว่าผู้ชาย.

Early TB Found in 9,000-Year-Old Bones

เขียนโดย RedAngel ที่ 21:42

21.10.51


The earliest known cases of human tuberculosis have been identified in 9,000-year-old bones found in an ancient submerged village off the coast of Israel, proving the disease is 3,000 years older than believed, say British and Israeli researchers.

The bones, thought to be from a mother and baby, had characteristic lesions that indicate tuberculosis (TB), and the presence of the disease was confirmed by DNA analysis. The findings, published in the journal PLoS One, support the theory that bovine TB evolved later than human TB.

"What is fascinating is that the infecting organism is definitely the human strain of tuberculosis, in contrast to the original theory that human TB evolved from bovine TB after animal
domestication," study co-leader Dr. Helen Donoghue, of the University College London Centre for Infectious Diseases & International Health, said in a PLoS One news release.

"This gives us the best evidence yet that in a community with domesticated animals, but before dairying, the infecting strain was actually the human pathogen. The presence of large numbers of animal bones shows that animals were an important food source, and this probably led to an increase in the human population that helped the TB to be maintained and spread," Donoghue said.

She and her colleagues "were also able to show that the DNA of the strain of TB in these skeletons had lost a particular piece of DNA which is characteristic of a common family of strains present in the world today. The fact this deletion had occurred 9,000 years ago gives us a much better idea of the rate of change of the bacterium over time, and indicates an extremely long association with humans."

The findings provide more information about how TB has evolved over thousands of years and improves understanding of how it may change in the future.

"Examining ancient human remains for the markers of TB is very important, because it helps to aid our understanding of prehistoric tuberculosis and how it evolved. This then helps us improve our understanding of modern TB and how we might develop more effective treatments," study co-leader Dr. Mark Spigelman, also of University College London, said in the news release.

พบหลักฐานเชื้อวัณโรคเก่าแก่ อยู่บนโลกมาถึง 9,000 ปี

นักวิทยาศาสตร์พบว่าโรควัณโรคนั้นเกิดขึ้น มาบนโลกตั้งแต่เมื่อ 9,000 ปีก่อน จากหลักฐานกระดูกมนุษย์ที่ชายฝั่งอิสราเอล นับว่าเป็นหลักฐานที่เก่ากว่าเดิมอย่างน้อย 3,000 ปี

เหล่านักวิจัยหวังว่าการค้นพบว่าวัณโรคมีวิวัฒนาการของโรคอย่างไรในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมานั้น จะช่วยในการทำความเข้าใจโรคนี้ได้ดีขึ้น ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ทีมนักวิจัยนานาชาติ ซึ่งรวมถึงนักวิจัยมหาวิทยาลัยเทอาวีฟ ในอิสราเอล รายงานในวารสารวิชาการ พับลิค ไลบรารี ออฟ ไซเอินซ์ พบกระดูกมนุษย์ที่น่าจะเป็นกระดูกของแม่กับทารกที่ฝังอยู่ในหมู่บ้านใต้ดินริมชายฝั่งไฮฟา เมื่อนำไปวิเคราะห์ดีเอ็นเอแล้วพบว่า โครงกระดูกอายุ 9,000 ปีนั้นติดเชื้อวัณโรค เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าเป็นสายพันธุ์ชนิดเดียวกับที่พบในมนุษย์เท่านั้นและยังคล้ายคลึงกับแบคทีเรียทั่วไป ที่ติดเชื้อวัณโรคในปัจจุบัน

เฮเลน โดโนฮิว นักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่ลอนดอน ผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มี หลักฐานสายพันธุ์วัณโรคที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในกลุ่มของ อียิปต์ที่ย้อนหลังไปประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล อนึ่ง วัณโรคนั้นเป็นโรคที่มีการติดเชื้อที่ปอด เป็นโรคที่เคยควบคุมได้แต่กลับมาเป็นกันใหม่ และติดเชื้อกันประมาณปีละ 9.2 ล้านคน คร่าชีวิตคนไปราว 1.7 ล้านคนทั่วโลก การกลับมาใหม่ของโรคนี้ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาและยากแก่การรักษามากขึ้น.

MyKey Turns Your Ford Focus into Your Mom

เขียนโดย RedAngel ที่ 06:36

17.10.51

Ford has made parenting a little easier by introducing MyKey, a programmable ignition key for Ford automobiles that monitors teenage driving behavior. With MyKey in place, various driving habits that parents may consider unsafe, or merely obnoxious, can be curtailed.

It covers all the common parental complaints: The car's speed cannot exceed 80mph. Radio volume is limited to 44 percent of maximum and, if seatbelts aren't fastened, no sound will come from the speakers at all. Extra-careful and/or paranoid parents can place warning sounds at 45, 55, and 65mph, blasting a warning of potential reckless driving to the youthful driver.
Ford realizes this is annoying. Susan Cischke, Ford's group vice president of sustainability, environment and safety engineering even said she hoped to "turn up the annoyance factor a little bit."

MyKey will be introduced as a free standard feature in the 2010 Ford Focus model. Ford hopes to make MyKey a standard feature on all Ford, Lincoln, and Mercury models thereafter.
MyKey is built on ID chips already used in keys to help deter car theft, and evolved through changing software. MyKey tracks only the distance traveled by the car, so while it may seem relatively harmless now, parents who want other features to loom over their children -- such as point-by-point GPS tracking -- may be able to add them on for a fee.

Naturally, teenagers didn't warm up to the idea. After initial testing, 67 percent of teens said they wouldn't want MyKey. The number dropped to 36 percent if greater driving privileges were granted. But they aren't the ones buying the cars . . .

Traffic accidents remain the leading cause of death among teenagers, and Ford has this statistic in mind. I'm uncertain whether a few beeping noises and a speeding cap will make a difference in the long-run, but it's a noble cause.



พัฒนารถรุ่นใหม่ให้แม่มาคุม จำกัดทั้งเสียงดังและ ความเร็ว


อีกไม่นานปีเราจะได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะสามารถควบคุมโชเฟอร์รุ่นเยาว์ ไม่ให้เร่งความเร็วเกินกำหนดได้แล้ว


ระบบควบคุมดังกล่าวมีชื่อว่า “มายคีย์” ซึ่งบริษัทรถยนต์ ฟอร์ดพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถควบคุมความเร็วสูงสุดของรถยนต์และคุมไม่ให้เครื่องเสียงส่งเสียงดังเกินไป พร้อมทั้งยังมีสัญญาณเตือนหากไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย


องค์ประกอบหลักของมายคีย์อยู่ที่การจำกัดความเร็วสูงสุดของรถยนต์ให้ไม่เกิน 80 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมกันนี้ยังตั้งสัญญาณเตือนได้หากความเร็วเกิน 45, 55 หรือ 65 ไมล์ต่อชั่วโมง ผู้ผลิตบอกว่าจะมีการบิลท์อินไอดีชิปลงไปที่กุญแจรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในกุญแจที่ป้องกันการขโมยรถ


จิม บุซโควสกี ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมระบบไฟฟ้า กล่าวว่า “มันเป็นการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วมาใช้ ผ่านซอฟต์แวร์มหัศจรรย์ เราสามารถจะเสริมแต่งการทำงานลงไปบนสิ่งที่มีอยู่แล้ว”


ทางบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่วางแผนว่า จะนำระบบมายคีย์ มาใช้กับรถยนต์ฟอร์ด โฟกัส คอมแพค ซึ่งจะออกจำหน่ายในปี พ.ศ.2553


ด้านแอนน์ แม็คคาร์ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัย ของสถาบันประกันความปลอดภัยบนท้องถนน สหรัฐอเมริกา บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า จากงานวิจัยที่ทำมาแสดงให้เห็นว่าความเร็วเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มวัยรุ่นขับรถชน โดยเฉพาะกลุ่มมือใหม่ ดังนั้น ระบบที่พยายามจะแก้ไขพฤติกรรมในการเร่งความเร็วจะ มีศักยภาพพอที่จะปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยได้.

A rubiks cube trick

เขียนโดย RedAngel ที่ 23:12

6.10.51

Max Wertheimer

เขียนโดย RedAngel ที่ 22:16

30.9.51

Max Wertheimer


Gestalt psychology (also Gestalt of the Berlin School) is a theory of mind and brain that proposes that the operational principle of the brain is holistic, parallel, and analog, with self-organizing tendencies; or, that the whole is different than the sum of its parts. The classic Gestalt example is a soap bubble, whose spherical shape is not defined by a rigid template, or a mathematical formula, but rather it emerges spontaneously by the parallel action of surface tension acting at all points in the surface simultaneously. This is in contrast to the "atomistic" principle of operation of the digital computer, where every computation is broken down into a sequence of simple steps, each of which is computed independently of the problem as a whole. The Gestalt effect refers to the form-forming capability of our senses, particularly with respect to the visual recognition of figures and whole forms instead of just a collection of simple lines and curves.
World War I
The collaborative work of the three Gestalt psychologists was interrupted by World War I. Both Wertheimer and Koffka were assigned to war-related research, while Kohler was appointed the director of an anthropoid research station on Teneriffe, in the Canary Islands. The three men reunited after the war ended and continued further research on the experiments.
Berlin Years
After the war, Koffka returned to Frankfurt, while Kohler became the director of the Psychological Institute at the University of Berlin, where Wertheimer was already on the faculty. Using the abandoned rooms of the Imperial Palace, they established a now-famous graduate school, in tandem with a journal called Psychologische Forschung (Psychological Research: Journal of Psychology and its Neighboring Fields), in which their students’ and their own research was initially published. The success of their efforts is evidenced by the familiarity of the names of their students in the literature of psychology, among them Kurt Lewin, Rudolf Arnheim, Wolfgang Metzger, Bluma Zeigarnik, Karl Duncker, Herta Kopfermann and Kurt Gottschaldt.
In 1923, while teaching in Berlin, Wertheimer married Anna (called Anni) Caro, a physician’s daughter, with whom he had four children: Rudolf (who died in infancy), Valentin, Michael and Lise. They divorced in 1942.
The New School
From 1929 to 1933, Wertheimer was a professor at the University of Frankfurt. When Adolf Hitler became Chancellor of the Third Reich in 1933, it became apparent to Wertheimer (and to countless other “non-Aryan” intellectuals) that he must leave Germany. In the end, he accepted an offer to teach at the New School for Social Research in New York. The Wertheimers’ emigration was arranged through the U.S. consulate in Prague, and he and his wife and their children arrived in New York harbor on September 13, 1933.
Later life
For the remaining decade of his life, Wertheimer continued to teach at the New School, while remaining in touch with his European colleagues, many of whom had also emigrated to the U.S. Koffka was teaching at Smith College, Kohler at Swarthmore College, and Lewin at Cornell University and the University of Iowa. Although in declining health, he continued to work on his research of problem-solving, or what he preferred to call “productive thinking.” He completed his book (his only book) on the subject (with that phrase as its title) in late September 1943, and died just three weeks later of a heart attack. Wertheimer was buried in Beechwood Cemetery in New Rochelle, New York.

เกิดเมื่อปี1880 และเสียชีวิตเมื่อปี 1943 ที่เมือง Berlin และเสียชีวิตปี 1941 เป็นนักจิตวิทยาทางด้านจิตใจและสมอง (กลุ่มเกสตัลท์) หรือ กลุ่มที่เน้นความสำคัญของการคิด (Cognitive Theory) เขาได้เป็นผู้ช่วยสอนที่มหาวิทยาลัย แฟรงค์เฟริท

โดย เวอร์ไธเมอร์ ศึกษาเกี่ยวกับ
การรับรู้เคลื่อนที่ (Perception of movement)
โดยเขาได้กล่าวถึงการทดลองไว้ตอนหนึ่งว่า ถ้าเรายื่นนิ้วให้ห่างจากปลายจมูกราว 6 นิ้ว และหลับตามองทีละข้าง จะเห็นว่านิ้วมือเราไม่อยู่ทีเดิม จากการทดลองที่ปรากฏนี้ เขาได้อธิบายถึงการรับรู้ว่าคนเรามันจะรับรู้และตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ โดยเอาความรู้สึกของตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ


Gestalt psychologists

เขียนโดย RedAngel ที่ 02:35

26.9.51


Gestalt psychologists find it is important to think of problems as a whole. Max Wertheimer considered thinking to happen in two ways: productive and reproductive.


Productive thinking- is solving a problem with insight.

This is a quick insightful unplanned response to situations and environmental interaction.

Reproductive thinking-is solving a problem with previous experiences and what is already known. (1945/1959).


This is a very common thinking. For example, when a person is given several segments of information, he/she deliberately examines the relationships among its parts, analyzes their purpose, concept, and totality, he/she reaches the "aha!" moment, using what is already known. Understanding in this case happens intentionally by reproductive thinking.


Other Gestalts psychologist Perkins believes insight deals with three processes:

1) Unconscious leap in thinking.

2) The increased amount of speed in mental processing.

3) The amount of short-circuiting which occurs in normal reasoning.



เกสตัสท์ (Gestalt) หมายถึง รูปหรือแบบแผน (Form of Pattern) ต่อมาได้แปลว่าส่วนรวม (Whole) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ของกลุ่มนี้ที่กล่าวว่าส่วนรวมมีค่ามากกว่าผลบวกของส่วนย่อย (The whole is greater than the sum of the parts) ซึ่งจะเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจาก 2 ลักษณะ คือ การรับรู้ (Perception) จากการสัมผัสด้วยอวัยวะรับสัมผัสทั้ง 5 ส่วน คือ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง ซึ่งระเบียบการรับรู้โดยแบ่งเป็นกฎย่อย ๆ

ดังนั้น นักจิตวิทยากลุ่มนี้จึงถือว่า การเรียนรู้มิใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่จะต้องประกอบด้วย ความรู้ ความเข้าใจ โดยที่อินทรีย์จะพยายามรวบรวมการรับรู้ (Perception) เข้าเป็นแบบแผนที่มีความหมายก่อนเพื่อจะให้เป็นการหยั่งรู้ (Insight) และการหยั่งที่เกิดขึ้นนี้จึงจะนำไปใช้ในการแก้ปัญหา (Problem Solving)

Large Hadron Collider : LHC

เขียนโดย RedAngel ที่ 00:26

13.9.51


ผลการทดลองหาจุดกำเหนิดจักรวาล(CERN)
รอมากว่า 20 ปี ลำโปรตอนแรกสู่เครื่องเร่งอนุภาคใหญ่ที่สุดในโลก


"เซิร์น" กดปุ่มเดินเครื่องแอลเอชซี ยิงบีมแรก ทดสอบลำอนุภาควิ่งครบรอบ ในห้องทดลองยักษ์ใต้ดิน เปิดประเดิมภารกิจไขปริศนากำเนิดจักรวาล ที่นักฟิสิกส์ตั้งตาคอย นับเป็นวันที่หลายคนลุ้นว่า เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

"แอลเอชซี" (Large Hadron Collider : LHC) ที่องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Center for Nuclear Research) หรือชื่อย่อตามภาษาฝรั่งเศสอันเป็นต้นกำเนิดเดิม นามว่า "เซิร์น" (CERN) กำหนดให้วันที่ 10 ก.ย.51 เป็นเวลาแห่งการเดินเครื่อง เพื่อการทดลองค้นหาคำตอบที่นักฟิสิกส์ตั้งคำถามมายาวนาน

ณ เดอะโกลบ อันเป็นห้องรับแขกของเซิร์น บริเวณนอกเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ คึกคักตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อต้อนรับนักข่าวจากทั่วโลก โดยเซิร์นพร้อมเปิดบ้าน ให้ผู้สื่อข่าวเป็นสักขีพยานในการยิงลำแสงแรก ในช่วงเช้าของเวลาทำการ ซึ่งช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง พร้อมทั้งส่งสัญญาณดาวเทียมสู่สถานีโทรทัศน์ทั่วโลก (หากสถานีใดต้องการ) และยังมีการถ่ายทอดสดผ่านเว็บแคสต์ ให้ได้ชมกันผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่ดูเหมือนว่าการจราจรบนโลกไซเบอร์จะคับคั่งกว่าที่เซิร์นคาดการณ์ไว้ จึงทำให้หลายๆ พื้นที่ไม่สามารถเข้าชมได้ (รวมถึงทีมงานผู้จัดการวิทยาศาสตร์ด้วย)

ทั้งนี้ ในเวลา 09.30 น. หรือ 14.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ลำโปรตอนลำแรกได้ถูกยิงเข้าสู่เครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซี ซึ่งอาจนับได้ว่าเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด ซับซ้อนที่สุด และมีมูลค่ามากที่สุดในโลก โดยใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี กว่าจะได้เดินหน้ายิงลำแสงแรกในวันนี้

เมื่อยิงลำโปรตอนไปแล้ว ต้องรอประมาณ 5 วินาที จึงจะได้ข้อมูลการเดินทางของลำแสง เพื่อวิเคราะห์ต่อไป

อย่างไรก็ดี ในวันแรกของการเปิดใช้เครื่องเร่งอนุภาค หรือ เฟิร์สต์บีมเดย์ (LHC First Beam Day) ครั้งนี้ จะยังไม่มีการชนกันของลำโปรตอนแต่อย่างใด เป็นแค่เพียงการยิงลำแสง 1 ลำเพื่อตรวจสอบดูว่า ลำโปรตอนสามารถเดินทางได้รอบท่อตามที่คำณวนไว้หรือไม่

ส่วนการทดลองยิงลำโปรตอนเพื่อชนกันของอนุภาคครั้งแรกนั้น ทางเซิร์นเปิดเผยว่า คงจะอีกหลายสัปดาห์ถัดจากนี้



ภาพถ่ายผ่านดาวเทียม




“เซิร์น” คำนวณพลาด! แม่เหล็กยักษ์เสียหายก่อนได้ไขปริศนาจักรวาล

ไทม์ออนไลน์/บีบีซีนิวส์/เดอะรีจิสเตอร์ - ก่อนได้ไขปริศนา “บิ๊กแบง” ของจักรวาล “เซิร์น” ก็เจอระเบิดใต้เขตแดนสวิตซ์และฝรั่งเศสเสียก่อน เหตุเกิดจาก “เฟอร์มิแล็บ” คำนวณการออกแบบแม่เหล็กผิดพลาด คาดการเดินเครื่องครั้งใหญ่อาจต้องเลื่อนออกไปอีกหลายเดือนหลังจากที่กำหนดไว้ปลายปีนี้
“เซิร์น” (CERN) หรือองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ (European Organization for Nuclear Research) ซึ่งมีห้องปฏิบัติการด้านฟิสิกส์อนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ลึกลงไปใต้ดิน 100 เมตรบริเวณรอยต่อประเทศสวิตเซอร์แลนด์และฝรั่งเศส เพิ่งจะติดตั้งแม่เหล็กยักษ์ของเครื่องตรวจวัดอนุภาค “ซีเอ็มเอส” (Compact Muon Solenoid: CMS) ไปเมื่อปลายเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งแม่เหล็กดังกล่าวเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่จะช่วยไขปริศนา “บิ๊กแบง” หรือกำเนิดจักรวาลได้
ยังไม่ทันที่จะมีการเดินเครื่องเร่งอนุภาคที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็เกิดระเบิดขึ้นในอุโมงค์ของห้องปฏิบัติการเมื่อปลายเดือน มี.ค.ทำให้แม่เหล็กยักษ์ตัวหนึ่งของเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่ “แอลเอชซี” (Large Hadron Collider: LHC) เสียหาย อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างการทดสอบแรงดันระดับสูง แต่ความไม่สมดุลของแรงจากแรงดันของก๊าซฮีเลียมที่หล่อเย็นภายในอุโมงค์ได้ดันแม่เหล็กที่หนักกว่า 20 ตัน จนเป็นเหตุให้โครงสร้างยึดแม่เหล็กชำรุดและเกิดอุบัติเหตุในที่สุด
“มันเป็นระเบิดนรกจริงๆ ภายในอุโมงค์ที่ติดตั้งเครื่องจักรเต็มไปด้วยก๊าซฮีเลียมและฝุ่น เราต้องเรียกหน่วยดับเพลิงให้เข้ามาอพยพผู้คน คนที่ทำงานทดสอบต้องเผชิญหน้ากับความตาย แต่พวกทั้งหมดก็ไปอยู่ในที่ปลอดภัยและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ” ดร.ลิน อีวานส์ (Dr. Lyn Evans) หัวหน้าโครงการก่อสร้างเครื่องเร่งอนุภาคของเซิร์นเปิดเผยถึงอุบัติเหตุดังกล่าวว่าเป็นการระเบิดที่จะก่อให้เกิดอันตรายได้อย่างมาก และนักวิจัยบางคนก็ได้เห็นการไหลของก๊าซที่เป็นต้นเหตุของการระเบิด
ต้นเหตุจริงๆ ของอุบัติเหตุเกิดมาจากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ผิดพลาดในการก่อสร้างแม่เหล็กยักษ์ซึ่งรับผิดชอบโดย ห้องปฏิบัติการเครื่องเร่งอนุภาคแห่งชาติเฟอร์มิ (Fermi National Acceleratory Laboratory) หรือเฟอร์มิแล็บ (Fermilab) ของทบวงพลังงานสหรัฐ แต่ในเบื้องต้นทีมวิจัยยืนยันว่าความผิดพลาดนี้จะไม่มีการโยนความผิดให้กับใคร
อย่างไรก็ดี ปิแอร์ ออดดัน (Pier Oddone) ผู้อำนวยการเฟอร์มิแล็บก็มีท่าทีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและกระอักกระอ่วนต่อเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเขามีข้อความถึงทีมงานของเฟอร์มิแล็บว่าพวกเขาได้ทำเรื่องที่น่า “ขายหน้า” ที่สุดบนเวทีโลก
“เราพบความโง่ของตัวเองที่พลาดการสมดุลแรงซึ่งเป็นเรื่องพื้นๆ และไม่ใช่แค่ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวในการออกแบบทางวิศวกรรม แต่เป็นความผิดพลาดถึง 4 ครั้งที่มีการตรวจสอบตั้งแต่ปี 2541-2545 ก่อนที่จะมีการลงมือสร้างแม่เหล็กจริงๆ” ผู้อำนวยการเฟอร์มิแล็บกล่าว
และช่างเป็นเรื่องประจวบเหมาะที่เฟอร์มิแล็บได้รับจากการเลื่อนกำหนดเดินเครื่องเร่งอนุภาคของเซิร์น เพราะนักวิจัยของเฟอร์มิแล็บเองก็ตั้งใจที่จะเดินเครื่องเร่งอนุภาค “เทวาตรอน” (Tevatron) ซึ่งเป็นคู่แข่งของเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีแต่ใช้พลังงานน้อยกว่า ทั้งนี้ทีมงานของเฟอร์มิแล็บจะให้พลังงานแก่เทวาตรอนมากขึ้น โดยหวังว่าพวกเขาจะได้ค้นพบอนุภาค “ฮิกก์” (Higgs) ก่อนที่จะเดินเครื่องแอลเอชซี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงกับทำให้ทีมวิจัยของแอลเอชซีค่อนขอดว่าการยืดเวลาออกไปเป็นที่ต้องการของทีมวิจัยจากสหรัฐพอดี
สำหรับเครื่องเร่งอนุภาคแอลเอชซีนั้นถูกออกแบบสำหรับการชนกันของอนุภาคโปรตอนที่ความเร็วใกล้แสง โดยหวังว่าการชนนี้จะทำให้เกิดอนุภาคใหม่ที่เรียกว่า "ฮิกก์" ตามที่นักทฤษฎีได้คาดการณ์ไว้ และอนุภาคดังกล่าวจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะอธิบายคุณสมบัติของสสาร อาทิ สสารมีมวลและน้ำหนักได้อย่างไร เป็นต้น
แอลเอชซีนั้นประกอบด้วยท่อ 2 ท่อซึ่งเชื่อมต่อกัน แต่ละท่อบรรจุลำอนุภาคโปรตอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วใกล้แสงและวิ่งวนอยู่ในท่อด้วยแรงแม่เหล็ก โดยแม่เหล็กเหล่านั้นเป็นแม่เหล็กตัวนำยิ่งยวดซึ่งหมายความว่าจะต้องหล่อเย็นส่วนประกอบทั้งหมดของเครื่องเร่งอนุภาคที่อุณหภูมิ -268 องศาเซลเซียส โดยการเติมฮีเลียมเหลวในท่อ ขณะเดียวกันนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องบังคับให้ลำโปรตอนที่มีอนุภาคจำนวนมหาศาลนั้นมีความหนาน้อยกว่าเส้นผม ซึ่งแม่เหล็กที่ทำหน้าที่ดังกล่าวก็ได้ระเบิดไประหว่างการทดสอบแรงดัน

ทดลองเพื่อสนองเพียงความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นหรือ?


4.9.51

Key to long life: Tests on mice have
helped scientists discover the way to
extending the human lifespan

Scientists have made a genetic breakthrough which they claim could extend human life and even protect against cancer.

They carried out experiments on mice which made them live 45 per cent longer and left them free from tumours.

The researchers are confident that the technique could be used to extend the lifespan of humans - perhaps within 20 years - because the genes involved exist naturally in both mice and humans and perform similar roles.

And they say that the breakthrough could one day see all humans benefiting from a longer and healthier life without the threat of serious disease.

Leading geneticists and cancer experts say the development is both extraordinary and exciting.
The team of researchers achieved their results by inserting an extra copy of three genes - called telomerase, p53 and p16, already known to be important for longevity and suppressing tumours into the stem cells of mice.

Inserting an extra copy improves their function in the body because they produce more protein, which makes them more active.
This in turn helps telomerase to protect chromosomes from shrinking, a process which normally happens naturally as all living creatures age. And it means p53 and p16 work to prevent cells mutating and dividing - and therefore preventing cancer - while producing a good balance of new and healthy cells.

The technique is groundbreaking because it managed to get extra copies of both p53 and p16 into the mice, which scientists have been trying to do for years. It is also the first time that scientists have been able to extend the life of mice in this way while protecting them against cancer.
Previously, mice had been bred to be cancer-free but their lifespans were not significantly altered. In some cases, they were shortened. Scientists have previously extended the life of mice but only by restricting their diet.

The modified mice were allowed to breed to strengthen their new DNA pattern, which created a group of ‘supermice’ with longer lifespans and in-built cancer protection.

It is thought the researchers managed to create mice which lived to around four-and-a-half years. Normally, they live for an average of three years.

The team, from the Spanish National Cancer Research Centre (CNIO) in Madrid, say this is the equivalent of humans living to 125.

Manuel Serrano, one of the researchers speaking at a conference, said: ‘When activating p53 and p16 in mice, the incidence of cancer is reduced to practically zero.

'We don’t think the mice lived longer because they had less cancer but because these genes also protected against ageing.’

Chief researcher Maria Blasco, one of Spain’s leading scientists, told the conference: ‘The elixir of eternal youth is now not a utopian dream.

‘The discovery opens the door to [the possibility] that humans could live 125 years and without cancer.’

Top British geneticist Aubrey de Grey called it an ‘extraordinary breakthrough’ which scientists had been trying to achieve for years.

He added: ‘The big thing that makes this new is that it’s the first time anyone has succeeded in manipulating the interaction between cancer and ageing in a manner that actually succeeds and produces a longer lifespan in mammals than would exist without intervention.’


ยืดอายุหนูได้เท่าอายุคน125ปี อาจจะนำวิธีการมา ใช้กับมนุษย์

มนุษย์จะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงจนอายุถึง 125 ปีได้ โดยไม่ใช่ความฝันที่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถดำเนินการกับหน่วยพันธุกรรมของหนูทดลอง จนมันมีอายุยืนยาวกว่าปกติ อีกเกือบครึ่งเท่าตัว

หนังสือพิมพ์รายวัน “เดอะ เดลี่ เมล์” ฉบับใหญ่ของอังกฤษ รายงานว่า มาเรีย บลาสโก นักวิทยาศาสตร์เอกของศูนย์วิจัยโรคมะเร็งแห่งชาติสเปน ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า หากสามารถเปลี่ยนการทดลองกับหนูมาทำกับคนได้สำเร็จ ก็จะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปได้เช่นกัน เพราะเหตุว่ายีนที่เป็นตัวการนั้นมีอยู่ทั้งในหนูและมนุษย์ด้วยกัน “ยาอายุวัฒนะไม่ได้เป็นความฝันอีกต่อไปแล้ว” การค้นพบได้เปิดประตู ไปสู่การทำให้มนุษย์ สามารถจะอยู่อย่างแข็งแรงได้จนอายุถึง 125 ปี โดยไม่ต้องห่วงเรื่องมะเร็งด้วย”

คณะนักวิทยาศาสตร์ได้จัดการสอดแบบจำลองของยีน 3 ชนิด ซึ่งกำหนดอายุขัยของเซลล์และกำจัดมะเร็งเข้าไปในเซลล์ต้นกำเนิดของหนู แบบจำลองที่ใส่เพิ่มเข้าไปได้ช่วยสร้างโปรตีนเพิ่มขึ้น ทำให้หนูแข็งแรงขึ้น หนูตัวที่ได้รับการปรับแต่งยีน ถูกปล่อยให้มีลูกหลานตามปกติ เพื่อให้เผยแพร่ ดีเอ็นเอรูปแบบใหม่ สร้างฝูง “ซุปเปอร์หนู” ที่จะมีอายุยืนและปลอดมะเร็งขึ้น เป็นที่คาดว่าหนูเกิดใหม่เหล่านี้ พวกมันจะมีอายุยืนถึง 4 ปีครึ่ง ซึ่งอายุขัยเฉลี่ยของหนูแค่ 3 ปีเท่านั้น “ซึ่งหากเทียบกับอายุคนแล้ว จะเทียบได้กับคนที่มีอายุถึง 125 ปี”.

ประกาศจับ

เขียนโดย RedAngel ที่ 21:19

29.8.51

หลังจากร่ำเรียนด้วยกันมาเกือบหนึ่งภาคเรียนแว้ว
มิตรภาพเกิด เปิดใจ...เลยนำทุกคนมาโชว์กันอีกรอบ
คราวนี้ครบทุกคน...น่ารักด้วยนะ
นำทีมโดย..ป้าจอย
อาจารย์โญ...โชว์พุง
ป้าเฟือง..โชว์ฟัน


ป้าหลิง...ซิ่งที่สุด




พี่หมวย....สวยสุด



อาจารย์ตั้ง...สั่งตาย


ป้ากอล์ฟ...ง๊องแง๊ง











น้องรัก....

เขียนโดย RedAngel ที่ 20:29

วันนี้อาจารย์คนโปรดต้องการให้เรานำไฟล์วิดิโอมาลงในบล๊อก
นึกไม่ออกว่าจะเอาไฟล์ไรมาลงดี....น้องรัก
ช่วยพีได้อีกแว้ว...เรามีไฟล์น้องรักอยู่นี่นา
นำมาลงเพื่อโชว์อาจารย์ซะเลย

ว่าแล้วก็รักและคิดถึงน้องที่สุดเลยนะ
ตอนนี้พี่กลับไปอยู่กะแม่แล้วนะ
เมื่อคืนแม่มานอนกอดพี่เฟืองด้วย อิจฉาป่ะ
แม่เลิกร้องไห้แล้วล่ะ...แต่ก็ยังเหงาอยู่
ไม่ต้องห่วงพี่เฟืองจะดูแลแม่เอง..หลับให้สบาย


แด่....น้องจั๊มสุดที่รัก


How do you spot a lie?

เขียนโดย RedAngel ที่ 22:24

27.8.51


If you want to know if someone is telling the truth, keep an eye on the eyes.


Liars blink in different ways during and after a falsehood, researchers claim.


They blink less than normal during the lie, and then have a flurry up to eight times faster than usual afterwards.


'It is striking what different patterns in eye blinks emerged for liars and truth tellers,' said Dr Sharon Leal, co-author of the study at Portsmouth University.


'Such striking differences in behaviour between liars and truth tellers are rarely seen in deception research.'


The psychologists say that the discovery, reported in the Journal of Non-verbal Behaviour, means that blink rates could be used by professionals to catch liars.


In the study, a group of volunteers were told to go about their normal business for ten minutes but not to do anything that they might later have to lie about.


A second group were asked to steal an exam paper from an office, then to deny having taken it.
Experimenters, unaware of which group each individual was attached to, then asked each to recall exactly what they had been doing.


While they were being asked questions, their blink rates, which had all been the same at the start, were monitored with electrodes placed above and below and at the sides of the eyes to monitor all movements.


Results show that when the questions were being asked and the answers given, the blink rate in the liars went down.


The truth tellers' rate went up, possibly because of test anxiety.


Afterwards, the blink rate of the liars increased rapidly in a sudden flurry of activity, while that of the truth tellers remained the same.


The researchers say that the increased mental effort involved in telling fibs could be the reason why liars do not blink during the act of lying.


Dr Leal said: 'Liars must need to make up their stories and must monitor their fabrication so that they are plausible and adhere to everything the observer knows or might find out.


'In addition, liars must remember their earlier statements, so that they appear consistent when re-telling their story, and know what they told to whom. Liars will be more inclined than truth tellers to monitor and control their demeanour so they will appear honest.


'The reasons why there is a flurry of blinks after the lie is not really clear. It may be that this flurry is a kind of safety valve, like a release of energy after the tension of lying.'



จับโกหกให้จ้องดูลูกตาไว้ คนพูดโกหกจะกะพริบ ลูกตาผิดปกติ


มหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธของอังกฤษศึกษาพบบทเรียนอันน่าสนใจว่า หากจะจับโกหกใคร ให้คอยจับตาดูดวงตาของผู้นั้นไว้ ทั้งขณะพูดและพูดจบ เพราะจะมีอาการกะพริบตาผิดจากปกติไป


วารสารวิชาการ “พฤติกรรมที่ไม่ใช้คำพูด” เปิดเผยรายงานผลการศึกษาว่า คนพูดโกหกจะกะพริบตาช้ากว่าปกติตอนโกหก แต่พอพูดเสร็จจะกะพริบตาอย่างลุกลี้ลุกลน เร็วกว่าปกติถึง 8 เท่า


ดร.ชารอน ลีลล์ หัวหน้าคณะนักวิจัยกล่าวว่า แบบแผนการกะพริบตา ที่ผิดกันของคนพูดโกหกกับคนพูดจริง นับว่าน่าสนใจมาก “และให้ความเห็นว่า คนพูดโกหกอาจจะพยายามจะกลั้นความจริงเอาไว้ จึงทำให้ไม่ค่อยจะกะพริบตาตอนโกหก คนพูดโกหก มักจะต้องกุเรื่องขึ้น และต้องพยายามสร้างเค้าให้ดูเป็นจริงขึ้นให้มากที่สุด ให้เชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คนฟังรู้หรือเคยพบ”


เขาบอกต่อไปว่า “การที่พอพูดโกหกเสร็จ มักจะกะพริบตาถี่กว่าปกติตั้งหลายเท่า ก็เหมือนกับเป็นลิ้นนิรภัย ระบายพลังงานทิ้งหลังจากความกดดันจากการพูดโกหก”
รายงานการศึกษาสรุปว่า ความผิดปกติในการกะพริบตา อาจจะทำให้ผู้เชี่ยว ชาญมืออาชีพ ใช้เป็นเครื่องมือในการจับเท็จได้.

WiMax Services

เขียนโดย RedAngel ที่ 08:09

22.8.51

Malaysian WiMax operator Packet One Networks began commercial services Tuesday, marking another step in the ongoing rollout of the broadband wireless technology.

"Our plan is to target 100,000 subscribers in the next 12 months," said Michael Lai, Packet One's CEO, in a telephone interview.

To achieve that goal, Packet One is pricing WiMax access just below the combined cost of an ADSL (asynchronous digital subscriber line) connection and a fixed-line telephone.

Under a promotional package offered with the launch of the service, a 1.2M bps (bits per second) WiMax link will cost 99 ringgit (US$30) per month, with a 12-month contract. A 2.4M bps connection will cost 229 ringgit under the same terms.

A statement released by the company did not offer an indication of what the service will cost when the promotion ends on Sept. 30.

By comparison, Telekom Malaysia's Streamyx ADSL service costs 99 ringgit per month, including a modem, for a 1M bps connection. A 2M bps connection costs 188 ringgit.

Packet One's pricing isn't bad, but fixed-line and wireless operators need to roll out even faster connections, said Dhillon Andrew Kannabhiran, a security consultant and organizer of the Hack In The Box security conferences, in Kuala Lumpur, Malaysia.

"I'm personally hoping to see speeds in the region of 10Mbps and above," Kannabhiran said. "2M bps and below isn't what I'd call broadband. Sure, it's fine for surfing and downloading mails, but you can forget about streaming video, like Apple TV, with anything less than 8M bps."
Malaysia has seen relatively low penetration of broadband Internet services, with around 18 percent of households having such access, according to Malaysian government estimates.

That number is significantly lower than Asia's most connected markets, such as South Korea and neighboring Singapore, which have penetration rates of 93 percent and 78 percent, respectively.

Malaysia's government is determined to close this gap, hoping to connect 50 percent of households with broadband connections by 2010.

"The increase in broadband penetration is a catalyst to a more robust economy," said Shaziman Abu Mansor, Malaysia's minister of water, energy and communications, according to the transcript of a May speech.

Meeting that target would increase Malaysia's gross domestic product by 1 percent, or 6.7 billion ringgit, and create 135,000 new jobs, he said.

WiMax, alongside other technologies, figures prominently in Malaysia's broadband aspirations. The country has issued four WiMax licenses, using spectrum in the 2.3GHz and 2.5GHz bands. Packet One's service uses the 2.3GHz profile, the same version of the technology used in South Korea.

Packet One's WiMax service is initially aimed at consumers who want fixed-wireless access at home, but the company expects to roll out support for mobile users before the end of this year, Lai said.

Mobile access would require laptop users to have a special USB dongle. Intel, which invested 50 million ringgit in Packet One during May, will start shipping laptop chips that support WiMax later this year, but only in the U.S. These WiMax chipsets, which only support the 2.5GHz profile, will be offered to customers outside the U.S. next year as more WiMax networks come online.

Intel also plans to release versions of the chipset that support the 2.3GHz and 3.5GHz profiles next year.

เปิดศักราชไวแม๊กซ์

อินเทลได้เริ่มเปิดศักราชไวแม๊กซ์ด้วยการแถลงการลงทุนในมาเลเซีย ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มโครงการไปแล้ว มาตรฐานเครือข่าย 802.16e ซึ่งมาเลเซียน่าจะเป็นประเทศแรกในโลกที่เริ่มติดตั้งไวแม๊กซ์เพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์เป็นทางการ

ซึ่งก็ตามมาด้วยบริษัทที่ผลิตมือถือเช่นโนเกียก็ทำโทรศัพท์มือถือเพื่อรองรับการใช้งานของเครือข่ายไร้สายไวแม๊กซ์

พร้อมกันนี้ ชอง มาโลนีย์ (Sean Maloney) รองประธานกรรมการบริหารบริษัทอินเทลสัมทับอีกว่าปีนี้ 2008 น่าจะมีการใช้ไวแม๊กซ์ซัก 400 แห่ง มีผู้ใช้ประมาณ 150 ล้านคน ในปี 2010 จะมีผู้ใช้ไวแม๊กซ์ 650 ล้านคน และปี 2012 ก็จะมีถึง 1,300 ล้านคน สิ้นปีนี้คงพอจะทราบว่าหมู่หรือจ่า

ซึ่งบริษัทอินเทลก็จะเป็นผู้ผลิตแผงวงจรร่วมรายใหญ่ของมาตรฐานไวแม๊กซ์รายใหญ่ที่สุดของโลก

ในประเทศไทยก็มีค่ายบริษัทมือถือยักษ์ใหญ่หลายแห่งทำท่าว่าจะกระโดดตามขบวนรถไฟไวแม๊กซ์เช่นเดียวกับมาเลเซีย

ไวแม๊กซ์ (Wimax) เป็นอุปกรณ์สื่อสารไร้สายที่มีหลักการทำงานคล้ายกับไวไฟแต่มีรัศมีทำการกว้างขวางกว่าไวไฟมาก คือไวไฟมีรัศมีทำการ 30 เมตร แต่ไวแม๊กซ์มีถึง 50 กิโลเมตรเพราะฉะนั้นจะสามารถครอบคลุมผู้ใช้งานได้มากกว่ามหาศาล พร้อมทั้งมีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลมากได้ถึง 70 Mbps เมกกะบิทต่อวินาที ในขณะที่ไวไฟได้แค่ 54 Mbps ซึ่งไวแม๊กซ์ใช้ช่วงคลื่นที่สูงกว่าคืออยู่ในช่วง 10 ถึง 66 GHz กิ๊กกะเฮิร์ซ แต่ก็สามารถใช้ร่วมกับไวไฟที่ 2 ถึง 11 GHz ได้ด้วย

ในทางทฤษฏีไวแม๊กซ์ จึงดูดีมาก เมื่อมีการพูดถึงไวแม๊กซ์ในวงสัมมนาของโลกยุค 3 จี และก็ยังเลยมาถึงยุค 4 จี เข้าไปในปี 2012 แล้ว คือวางอนาคตไว้ดีและยาวนานมาก แถมยังมีการพูดคุยกันว่าน่าจะถึงขั้นทดแทนเทคโนโลยีเก่าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไวไฟ หรือโทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน

แต่ของจริงก็จะมองในแง่ดีทั้งหมดก็คงจะไม่ได้ เพราะการขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ก็จะขึ้นอยู่กับการแข่งขันแย่งตลาดลูกค้าเป็นสำคัญ โดยการพัฒนาเทคโนโลยีไวแม๊กซ์ซึ่งขณะนี้เดินคู่ขนานไปกับไวไฟ

คุณดีเวน เฮนดริกส์แห่งบริษัท ทีเธอร์เลส เอกเซส ได้กล่าวว่าแม้ไวแม๊กซ์จะดูดีในสาธารณะชนทั่วไปที่อยู่ในยุค 3 จี แต่ในขณะเดียวกันไวไฟซึ่งมีผู้นิยมใช้ติดใจมากก็มีการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานตลอดโดยเฉพาะด้านการส่งถ่ายข้อมูลจะไม่แพ้ไวแม๊กซ์ ซึ่งไวไฟก็พัฒนาให้อยู่ในระดับยุค 3 จีได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเอาเข้าจริง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็คงใช้ไวไฟเช่นเดิม และคุณเฮนดริกส์ ก็มองว่าไวแม๊กซ์พัฒนาตนเองช้าไปแล้วต๋อย คงจะหาที่ยืนในตลาดได้ยากหน่อย

http://www.networkworld.com/news/2008/081908-malaysias-packet-one-launches-wimax.html?hpg1=bn
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=61606&NewsType=2&Template=1

Uniforms can color judgment when referees see red

เขียนโดย RedAngel ที่ 17:22

14.8.51




A study has found choosing the color red for a uniform in competitive sports can affect the referee's split-second decision-making ability and even promote a scoring bias.

Red is thought to bring good luck for Chinese and is the color of items ranging from packets of lucky money handed out at Lunar New Year to lanterns and wedding dresses.

And Tiger Woods famously wears red on the last day of a golf tournament for luck.

Now psychologists Norbert Hagemann, Bernd Strauss and Jan Leissing from Germany's University of Muenster have found referees tended to assign more points to taekwondo competitors dressed in red than those dressed in blue.

The study, published in the August issue of Psychological Science, was conducted by the researchers presenting 42 taekwondo referees with videos of blue- and red-clad competitors sparring.

The two sets of clips were identical except that the colors were reversed in the second set so the red athlete appeared to be wearing blue and vice versa.

After each video the referees were asked to score the performance of each competitor, red or blue.

The psychologists said competitors wearing red were awarded an average of 13 percent more points and the points seemed to increase after the blue athlete was digitally transformed into a red athlete and decrease when the red competitor turned blue.

"Referees' decisions will 'tip the scales' when athletes are relatively well-matched but have relatively small influence when one is clearly superior," the researchers said in a statement.

"Although there is a need for further research, including research on the effects of different colors, our results suggest a need to change the rules or support referees by providing electronic decision-making aids in those sports in which this color bias may be a problem."


ชุดนักกีฬาสีแดงแรงฤทธิ์ บีบหัวใจกรรมการให้เอน เอียงไป

นักจิตวิทยาพบว่า นักกีฬาที่อยู่ในชุดสีแดง สามารถกดดันกรรมการให้เอนเอียงเข้าข้างตนได้

นักจิตวิทยานอร์เบิร์ท ฮาเกมานน์, เบิร์นด์ สเตราส์ และแจน เลสสิง มหาวิทยาลัยมูนเอนสเตอร์ที่เยอรมนี ศึกษาร่วมกันพบว่า ผู้ตัดสินมักจะให้แต้มนักกีฬาเทควันโดคนที่อยู่ในชุดแดงมากกว่าคู่ต่อสู้ชุดสีน้ำเงิน
พวกเขารายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “จิตวิทยาศาสตร์” ว่า ได้ทำการทดลองกับกลุ่มผู้ตัดสินกีฬาเทควันโด 42 นาย โดยให้ ตัดสินจากวีดิโอการต่อสู้ของนักกีฬาในชุดแดงกับชุดน้ำเงิน คนละ 2 คู่ โดยที่ผู้ตัดสินเหล่านั้นไม่ทราบว่า นักกีฬาคู่หลังก็ยังคงเป็นคนชุดเดิม หากแต่สลับสีชุดแต่งกายกัน

ปรากฏว่า ทุกคนล้วนแต่ให้แต้มคนชุดแดงมากกว่าชุดสีน้ำเงิน เฉลี่ยกันแล้วร้อยละ 13

คณะนักวิจัยมีความเห็นว่า เนื่องจากสีเสื้อผ้านักกีฬามีอิทธิพลต่อการตัดสินของกรรมการ ในการแข่งขันกีฬา ที่สีเสื้อผ้าของนักกีฬาอาจก่อปัญหาขึ้นได้ จึงควรจะมีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ช่วยในการตัดสินของกรรมการด้วย.


8.8.51



Sheila Kennedy, an expert in the integration of solar cell technology in architecture who is now at MIT, creates designs for flexible photovoltaic materials that may change the way buildings receive and distribute energy.


A 3-D rendering of "Soft House", which uses household curtains to collect solar energy and provide lighting.


These new materials, known as solar textiles, work like the now-familiar photovoltaic cells in solar panels. Made of semiconductor materials, they absorb sunlight and convert it into electricity.


Kennedy uses 3-D modeling software to design with solar textiles, generating membrane-like surfaces that can become energy-efficient cladding for roofs or walls. Solar textiles may also be draped like curtains.


"Surfaces that define space can also be producers of energy," says Kennedy, a visiting lecturer in architecture. "The boundaries between traditional walls and utilities are shifting."
Principal architect in the Boston firm, Kennedy & Violich Architecture, Ltd., and design director of its materials research group, KVA Matx, Kennedy came to MIT this year. She was inspired, she says, by President Susan Hockfield's plan to make MIT the "energy university" and by MIT's interdisciplinary energy curriculum that integrates research and practice.
This spring, Kennedy taught a new MIT architecture course, Soft Space: Sustainable Strategies for Textile Construction. She challenged the students to design architectural proposals for a new fast train station and public market in Porto, Portugal.


For Mary Hale, graduate student in architecture, Kennedy's Soft Space course was an inspiration to pursue photovoltaic technology in her master's thesis.


"I have always been interested in photovoltaics, but before this studio, I am not sure that I would have felt empowered to integrate them into a personal, self-propelled, project," she says.
Kennedy, for her part, will pursue her research in pushing the envelope of energy-efficiency and architecture. A recent project, "Soft House," exhibited at the Vitra Design Museum in Essen, Germany, illustrates what Kennedy means when she says the boundaries between walls and utilities are changing.


For Soft House, Kennedy transformed household curtains into mobile, flexible energy-harvesting surfaces with integrated solid-state lighting. Soft House curtains move to follow the sun and can generate up to 16,000 watt-hours of electricity--more than half the daily power needs of an average American household.


Although full-scale Soft House prototypes were successfully developed, the project points to a challenge energy innovators and other inventors face, Kennedy says. "Emerging technologies tend to under-perform compared with dominant mainstream technologies."
For example, organic photovoltaics (OPV), an emergent solar nano-technology used by the Soft House design team, are currently less efficient than glass-based solar technologies, Kennedy says.
But that lower efficiency needn't be an insurmountable roadblock to the marketplace, Kennedy says, because Soft House provides an actual application of the unique material advantages of solar nano-technologies without having to compete with the centralized grid.
Which brings her back to the hands-on, prototype-building approach Kennedy hopes to draw from in her teaching and work at MIT.


"Working prototypes are a very important demonstration tool for showing people that there are whole new ways to think about energy," she says.


ม่านเก็บแสงแดด-สร้างพลังงาน

ม่านบังแสง ช่วยกันแสงแดดเข้าห้องได้เป็นอย่างมาก ถ้าเราไม่เก็บแสงแดดนี้ เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน ก็เสียดายแย่ เทคโนโลยีม่านเปลี่ยนพลังงานเป็นของ "ชีลล่า เคนเนดี้" อาจารย์จากเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา ที่เห็นว่า โซลาร์เท็กซ์ไทล์ หรือผ้าพลังงานแสงอาทิตย์ จะเข้ามาปฏิวัติวิธีที่เราเก็บและใช้พลังงาน โดยผ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหนึ่งใน "ซอฟต์เพาเวอร์" หรือการนำวัสดุที่มีความยืดหยุ่นมาเปลี่ยนแสงแดดให้เป็นพลังงาน เคนเนดี้ กล่าวว่า "ผ้าที่ดูเหมือนว่าจะดิ้นได้นี้ดูคล้ายกับผ้าธรรมดา แต่สามารถทำงานได้เหมือนกับเซลล์แสงอาทิตย์ โดยผ้าจะฉาบด้วยวัสดุโฟโต้วอลทาอิก ให้เหมือนกับเป็นฟิล์มบางๆ ที่ผ้าม่านเรามีกระเป๋าเล็กๆ เอาไว้ใส่แบตเตอรี่ เพื่อรวบรวมพลังงานมาสะสมไว้ในแบตเตอรี่ใหญ่ของบ้านด้วย