It's me

ภาพถ่ายของฉัน
RedAngel
Bangkok, Bangkok, Thailand
Low profile, High profit.
ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน

Visitor

My Time

การลดต้นทุนการผลิต

เขียนโดย RedAngel ที่ 19:52

20.8.53


ปัจจุบันการเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะถ้าผู้ประกอบการใช้วิธีขึ้นราคาสินค้า ก็อาจทำให้ยอดขายลดลง เนื่องจากลูกค้าหนีไปซื้อสินค้าของเจ้าอื่นที่มีราคาถูกกว่า แต่ใช่ว่าหนทางเพิ่มกำไรจะอยู่ที่การเพิ่มยอดขาย หรือการขึ้นราคาสินค้าเท่านั้น แต่วิธีที่ผู้ประกอบการสามารถทำได้ง่ายๆและควบคุมได้โดยตรง นั่นก็คือ การลดต้นทุน ต้นทุนค่าใช้จ่ายบางประเภท ยิ่งลดได้มากเท่าใด กำไรในกระเป๋าก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
หัวใจของการลดค่าใช้จ่าย อยู่ที่ความร่วมมือจากพนักงานทุกคนในบริษัท ฉะนั้น ผู้บริหารจึงควรสร้างค่านิยมให้พนักงานตระหนักต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทุกคนช่วยกันประหยัดและใช้ทรัพยากรในองค์กรให้คุ้มค่าที่สุด เคล็ดวิธีลดต้นทุน


ผู้บริหารจะต้องสังเกตว่า จุดไหนเป็นจุดเร่งด่วนที่องค์กรควรรีบลดต้นทุนเป็นลำดับแรกๆ ซึ่งอาจเรียงรายการตามลำดับความสำคัญ ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลเพื่อค้นหาปัญหาที่เกิดขึ้น เทคนิคง่ายๆ คือการสังเกต พูดคุยหาข้อมูลจากพนักงานในบริษัท หรืออาศัยข้อมูลการวิเคราะห์ทางการเงิน หรือข้อมูลทางสถิติต่างๆ ขององค์กร ตัวอย่างเช่น
งานด้านพลังงาน องค์กรควรหาวิธีควบคุมการใช้พลังงานให้ประหยัดและคุ้มค่า และวิธีนำพลังงานที่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์อีก


งานด้านบุคคล องค์กรควรจัดจำนวนคนทำงานให้เหมาะสมกับจำนวนงาน อย่าให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อน งานบางอย่างจะมีประสิทธิภาพและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง หากสามารถนำเครื่องจักรเข้ามาใช้ทดแทน หรือว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้ามาทำแทนได้ นอกจากนี้องค์กรควรจัดอบรมให้ความรู้เพิ่มเติมแก่พนักงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของบุคลากรให้ดียิ่งขึ้น


งานด้านการขนส่ง องค์กรควรหาวิธีควบคุมการขนส่งให้เป็นระบบ โดยการขนส่งแต่ละครั้งควรวางแผนการเดินทางและบรรทุกสัมภาระให้เต็มที่ จะได้ประหยัดเวลาและค่าน้ำมัน พยายามนำเครื่องทุ่นแรงต่างๆเข้ามาช่วยในการทำงาน
งานด้านสินค้าคงคลัง สินค้าที่อยู่ในโกดังก็เหมือนเงินทุนที่วางจมอยู่ ฉะนั้น องค์กรต้องดูถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลังว่าดีพอหรือยัง โดยระบุวัน เวลา ที่สินค้าจะเข้าโกดัง และระยะเวลาที่จะนำสินค้าออกจากโกดังไปใช้ให้ชัดเจน หากองค์กรสามารถนำสินค้าที่ถูกส่งมอบไปใช้ได้ทันที ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังก็จะไม่เกิดขึ้น


ตั้งเป้าหมาย เวลาที่ชัดเจน รวมถึงแนวทางที่จะลดต้นทุน วิธีที่ช่วยให้เห็นผลได้เร็วยิ่งขึ้น คือการสร้างแรงจูงใจในการทำตาม องค์กรอาจให้รางวัลและประกาศเกียรติคุณ ยกย่อง ชมเชยแก่บุคคล หรือส่วนงานที่สามารถลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างเห็นผล หรืออีกวิธีหนึ่ง อาจใช้หลักการแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน คือ การกันเงินส่วนหนึ่งที่องค์กรสามารถลดต้นทุนลงได้ มาเป็นผลตอบแทนกลับคืนให้กับพนักงาน


ใช้เครื่องมือชี้วัด เพื่อตรวจสอบผลการลดต้นทุนที่เกิดขึ้น เช่น จัดทำตารางค่าใช้จ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟในแต่ละเดือนขึ้น ให้พนักงานเห็นอย่างชัดเจน และหากพบจุดใดบกพร่องต้องแก้ไข ข้อมูลที่ได้ก็จะเป็นแนวทางลดต้นทุนในครั้งต่อๆ ไป ระวัง! สักนิดก่อนคิดลดต้นทุน


การสร้างค่านิยมให้องค์กรเกิดการประหยัด จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้บุคคลากรหลงลืม พลั้งเผลอตัว กลับไปทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นอีกในระยะยาว


การลดต้นทุนค่าใช้จ่ายบางประเภทอาจทำให้เกิดต้นทุนอื่นตามมา เช่น ตัวอย่างของโรงงานย้อมผ้า ซึ่งควรบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงสู่แม่น้ำลำคลอง หากผู้ประกอบการลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในส่วนของการบำบัดน้ำเสียลง น้ำที่ปล่อยทิ้งอาจทำให้แม่น้ำลำคลองเสียหายตามไปด้วย โรงงานอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในภายหลังได้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นถือเป็นต้นทุนทางสังคมที่ผู้ประกอบการจะต้องระมัดระวังให้มาก


ผู้ประกอบการต้องคิดอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาในระยะยาว อาจส่งผลให้ธุรกิจมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าก็เป็นได้ โดยเฉพาะการใช้วิธีลดต้นทุนอย่างรุนแรง เช่น การปรับลดเงินเดือนหรืออัตราจ้างลง นอกจากจะทำลายขวัญและกำลังใจของพนักงานแล้ว ยังอาจกระทบต่อธุรกิจในภายหลังได้ เพิ่มกำไรด้วยการลดต้นทุนกันดีกว่า


เป็นการเสนอวิธีลดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจให้ต่ำลงอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถทำกำไรเพิ่ม หัวใจหลักของวิธีการนี้คือ ต้องทำให้พนักงานเกิดจิตสำนึกที่จะช่วยองค์กรประหยัดในทุกรูปแบบ


ขอขอบคุณบทความดีๆทางธุรกิจ
แหล่งที่มา : http://www.ismed.or.th/knowledge/showcontent.php?id=62

Meet the happy-faced spider sure to make you smile

เขียนโดย RedAngel ที่ 07:50

27.4.52

This amazing happy-faced spider found in Hawaii is bound to leave you beaming from ear to ear.
The tiny insect, which measures just a few millimetres across, has developed bizarre markings which look just like a smiling face.Scientists think the spider, which is harmless to humans, has evolved the patterns to confuse predators.

This tiny spider has developed markings that look like a smiling face
But it's no laughing matter for the spider which is under-threat from extinction from its home in the rainforests of the Hawaiian island chain in the Pacific ocean.

Spider expert and geneticist Dr Geoff Oxford, 62, from the University of York, said studying happy-face spiders was a real joy.

He said: 'I must admit when I turned over the first leaf and saw one it certainly brought a smile to my face.

'There are various theories as to why the spider has developed the markings it has, one of these that it may be to confuse predators.

'When a bird or other predator first sees a prey item it has not seen before there is a moment before it decides whether to eat it or not.

'It may be that this spider has developed these variations to take advantage of this, in the moment the predator is deciding if it is food it may have the chance to escape.

'I don't think the smiling face is enough to put off a bird though, but it would be nice to think so.
'Not all happy-face spiders have such striking markings, and some are nearly all orange or all blue.'

แมงมุมหน้ายิ้มฮาวาย-เสี่ยงสูญพันธุ์

"แมงมุมหน้ายิ้ม" มีขนาดเพียงไม่กี่มิลลิเมตร พบที่ฮาวาย สหรัฐอเมริกา ดร.จอฟฟ์ อ๊อกซฟอร์ด ผู้เชี่ยวชาญด้านแมงมุมจากมหาวิทยาลัยยอร์ก ประเทศแคนาดา ผู้ศึกษาแมงมุมหน้ายิ้ม กล่าวว่า "แมงมุมชนิดนี้ไม่น่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ การที่มันวิวัฒนาการให้ลำตัวมีหน้ายิ้มก็อาจเป็นเพราะต้องการหลอกศัตรู อย่างไรก็ตาม พวกมันมีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะพื้นที่ป่าดิบในเกาะฮาวายลดจำนวนลงเรื่อยๆ" ดร.อ๊อกซฟอร์ดยอมรับว่า เมื่อยกใบไม้ขึ้นมา ทำให้เขายิ้มที่เห็นลวดลายบนตัวแมงมุม "มีหลายทฤษฎีที่อาจนำมาอธิบายวิวัฒนาการหน้ายิ้ม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การที่แมงมุมต้องการหลอกนักล่า ศัตรู อย่างนกบางตัวที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน อาจมีจังหวะหนึ่งที่คิดว่า จะกินมันดีหรือไม่กินดี ซึ่งจังหวะนี้เองอาจทำให้แมงมุมหนีรอดจากการถูกกินได้"แมงมุมหน้ายิ้มได้รับการยกย่องให้เป็นทูตของเหล่าแมลงและแมงมุมที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของเกาะฮาวาย เพื่อให้มนุษย์ตระหนักถึงชีวิตของพวกมัน ถ้าไปเที่ยวฮาวายก็จะเห็นรูปแมงมุมหน้ายิ้มอยู่ตามสินค้าของที่ระลึกต่างๆ เช่น เสื้อยืด หมวกเบสบอล และโปสการ์ด

Found: the sister Cleopatra killed

เขียนโดย RedAngel ที่ 07:41


ARCHEOLOGISTS and forensic experts believe they have identified the skeleton of Cleopatra’s younger sister, murdered more than 2,000 years ago on the orders of the Egyptian queen.
The remains of Princess Arsinöe, put to death in 41BC on the orders of Cleopatra and her Roman lover Mark Antony to eliminate her as a rival, are the first relics of the Ptolemaic dynasty to be identified.

The breakthrough, by an Austrian team, has provided pointers to Cleopatra’s true ethnicity. Scholars have long debated whether she was Greek or Macedonian like her ancestor the original Ptolemy, a Macedonian general who was made ruler of Egypt by Alexander the Great, or whether she was north African.

Evidence obtained by studying the dimensions of Arsinöe’s skull shows she had some of the characteristics of white Europeans, ancient Egyptians and black Africans, indicating that Cleopatra was probably of mixed race, too. They were daughters of Ptolemy XII by different wives.

Related Links
Temple site ‘hides tomb of Cleopatra’
Preserver of the lost artefacts
Call for return of Egyptian treasures

The results vindicate the theories of Hilke Thür of the Austrian Academy of Sciences, who has long claimed that the skeleton was Arsinöe. She described the discovery of Arsinöe’s ethnicity as “a real sensation which leads to a new insight on Cleopatra’s family”.

Fellow experts are now convinced. Günther Hölbl, an authority on the Ptolemies, said the identification of the skeleton was “a great discovery”.

The forensic evidence was obtained by a team working under the auspices of the Austrian Archeological Institute, which is set to detail its findings at an anthropological convention in the United States later this month.

The story of the discovery will also be the subject of a tele-vision documentary, Cleopatra: Portrait of a Killer, to be shown on BBC1 at 9pm next Monday.

The institute’s breakthrough came about after it set out to examine Thür’s belief that an octagonal tomb in the remains of the Roman city of Ephesus contained the body of Arsinöe.
According to Roman texts the city, in what is now Turkey, is where Arsinöe was banished after being defeated in a power struggle against Cleopatra and her then lover, Julius Caesar.

Arsinöe was said to have been murdered after Cleopatra, now with Mark Antony following Caesar’s death, ordered the Roman general to have her younger sibling killed to prevent any future attempts on the Egyptian throne.

The distinctive tomb was first opened in 1926 by archeologists who found a sarcophagus inside containing a skeleton. They removed the skull, which was examined and measured; but it was lost in the upheaval of the second world war.

In the early 1990s Thür reentered the tomb and found the headless skeleton, which she believed to be of a young woman. Clues, such as the unusual octagonal shape of the tomb, which echoed that of the lighthouse of Alexandria with which Arsinöe was associated, convinced Thür the body was that of Cleopatra’s sister. Her theory was considered credible by many historians, and in an attempt to resolve the issue the Austrian Archeological Institute asked the Medical University of Vienna to appoint a specialist to examine the remains.

Fabian Kanz, an anthropologist, was sceptical when he began this task two years ago. “We tried to exclude her from being Arsinöe,” he said. “We used all the methods we have to find anything that can say, ‘Okay, this can’t be Arsinöe because of this and this’.”

After using carbon dating, which dated the skeleton from 200BC-20BC, Kanz, who had examined more than 500 other skeletons taken from the ruins of Ephesus, found Thür’s theory gained credibility.

He said he was certain the bones were female and placed the age of the woman at 15-18. Although Arsinöe’s date of birth is not known, she was certainly younger than Cleopatra, who was about 27 at the time of her sister’s demise.

The lack of any sign of illness or malnutrition also indicated a sudden death, said Kanz. Evidence of the skeleton’s north African ethnicity provided the final clue.

Caroline Wilkinson, a forensic anthropologist, reconstructed the missing skull based on measurements taken in the 1920s. Using computer technology it was possible to create a facial impression of what Arsinöe might have looked like.

“It has got this long head shape,” said Wilkinson. “That’s something you see quite frequently in ancient Egyptians and black Africans. It could suggest a mixture of ancestry.”



นักโบราณคดีและนักชันสูตรจากออสเตรีย เชื่อว่า โครงกระดูกที่พบในสุสานที่เมืองอีฟีซัส ประเทศตุรกี เป็นของ "เจ้าหญิงอาร์สิโนว" น้องสาวของพระนางคลีโอพัตรา ที่พระองค์มีคำสั่งให้มาร์ก แอนโทนี นำไปสังหารเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน ซึ่งการชันสูตรนี้เป็นการชันสูตรพระราชวงศ์องค์แรกของราชวงศ์พโทเลมีจากการศึกษาพบว่า เจ้าหญิงอาร์สิโนวมีเชื้อสายแอฟริกัน ที่แต่ก่อนนี้เคยคิดกันว่า ราชวงศ์พโทเลมีน่าจะมีเชื้อสายกรีกหรือคอเคเซียนดร.ฮิลเก้ ธูเออร์ จากสถาบันวิทยาศาสตร์ออสเตรีย กล่าวว่า "เมื่อเราสร้างภาพใบหน้าขึ้นมาแสดงให้เห็นว่าเจ้าหญิงอาร์สิโนวมีมารดาเป็นชาวแอฟริกัน ทำให้เราต้องหันกลับมามองโครงสร้างครอบครัวของคลีโอพัตราใหม่ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์และน้องสาว"

Go Green Cell Phone

เขียนโดย RedAngel ที่ 07:20


With all the strides made to “go green” that have been made by several different companies and products, it was only a matter of time until cell phone companies got the idea. The Bamboo phone is the newest innovation in biodegradable products. One the battery, antenna, and print board are taken off, the remains can then be placed in compos and they will begin to disintegrate in only a few weeks! That is not all… there are actually bamboo seeds within the case that, once release by the disintegrating case, will start to grow and feed on the case. The Bamboo phone literally becomes bamboo in a few months!!




The Bamboo phone is made out of two materials: the bio-plastic made of materials such as corn, and the bamboo, an endlessly renewable resource. As bamboo is harvested, there is no need to replant. Each time a shoot of bamboo is cut, a new shoot grows in its place.

This new and interesting little phone is charge via muscle power. The Bamboo phone comes with a cranking charger. After three minutes of cranking the charger by hand, the Bamboo phone will have enough of a charge to complete one phone call. So, technically, the Bamboo phone never runs out of energy, that is you never have to sit and plug it into a charge for an unknown amount of time, or loose power and have to search out a charger… just crank the charger yourself and make your next call! This little phone literally has as much energy as you want it to have (or as much as you are willing to give it anyway).

A Waste Management Solution Like None Other

เขียนโดย RedAngel ที่ 19:51

11.3.52



Dharavi - Asia's largest and the world's second largest slum - is the first impression one gets of Mumbai (erstwhile Bombay), while landing at the Chatrapati Shivaji International Airport. Hundreds of thousands of shanties with tin or asbestos sheets for roofs and blue or red plastic walls make for a shabby looking abstract painting on a canvas spread over many square kilometers. But like most abstract paintings, there is more to Dharavi than meets the eye. Dharavi, "slum" that it is, is also one of the most unregulated, but effective climate solutions documented on the Climate Solutions Road Tour ("CSRT").


Dharavi houses numerous paper and plastic recycling units, recycling tons of waste generated by Mumbai, which would otherwise have either found its way into the Arabian Sea or choked the already crumbling sewage system of the city. It is interesting to note that not only does this industry recycle waste, but also acts as an agent of poverty alleviation by providing employment at various levels.


Thousands of otherwise marginalized individuals, scavengers, scour through the tonnes of rubbish everyday, collecting recyclables and transporting them to segregators. The segregators pay Rs. 8 (50 cents approximately) per kilo of recyclable rubbish collected by the scavengers. The segregators, in turn, transport segregated waste to the appropriate recycling factory.


While the current scenario is not in the least humane, there have been instances of the scavengers' children making it through school and wearing a white collar. However, such instances are rare. One feels that effective government regulation and entrepreneurship are the need of the hour to take this climate solution to the next level.



พบวิธีกำจัดขยะให้กลับมีค่าได้เหมือนทอง สร้างถนนด้วยถุงพลาสติก


นักวิจัยมหาวิทยาลัยฮินดู พาราณสี พบวิธีกำจัดถุงพลาสติก ที่กำลังเป็นขยะเกลื่อนกลาดอยู่ตามหลายชาติในขณะนี้ ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ด้วยการนำไปใช้ทำถนนที่ทนแดดทนน้ำและคงทนถาวร

ศาสตราจารย์วิชาเคมีของมหาวิทยาลัย อาจารย์ราม อัดหาร์ สิงห์ กล่าวว่า เราสังเกตพบในการวิจัยว่า ถุงพลาสติกจะช่วยสร้างความคงทนให้กับถนนได้อย่างมหาศาล โดยกำลังจะไปขอจดสิทธิบัตรไว้อยู่

“ในการวิจัย เรานำเอาถุงพลาสติกคลุกกับน้ำมันดินแล้วไปทำให้ร้อนด้วยเครื่อง แล้วจึงนำไปผสมกับเศษหินและวัสดุอื่น สำหรับการสร้างถนน ปรากฏว่าได้ผลดี”

เท่าที่เคยก่อสร้างกันมา ถนนที่สร้างด้วยน้ำมันดินและหินจะทรุดลงเร็วเมื่อโดนน้ำเข้าไปขัง เนื่องจากน้ำมันดินเป็นอินทรีย์สาร ไม่อาจจะเข้ากับหินซึ่งเป็นอนินทรีย์สารได้ดี พอถูกน้ำขังก็จะแตกร้าวและเกิดเป็นหลุมเป็นบ่อ

อาจารย์สิงห์อธิบายว่า “เมื่อถุงพลาสติกอันเป็นอินทรีย์สารตามธรรมชาติโดนความร้อน ก็จะกลายเป็นชั้นเคลือบหินเอาไว้ หินซึ่งเป็นอนินทรีย์สาร เมื่อถูกอินทรีย์สารหุ้มห่อเอาไว้ ก็จะคลุกกับน้ำมันดินเข้ากันได้ดี”
นักวิจัยช่วยอธิบายวิธีการเสริมว่า การนำเอาถุงพลาสติก น้ำมันดินกับเศษหินมาคลุกเข้าด้วยกันนั้น จะต้องมีสัดส่วนเฉพาะ และเมื่อไปทำให้มันร้อนอุณหภูมิสูงระหว่าง 120-130 องศาเซลเซียส ถุงพลาสติกบางๆ ก็จะก่อตัวเป็นชั้นเหนือเศษหิน และจะ ป้องกันถนนไม่ให้น้ำซึมลงไป ไม่ทำให้เกิดเป็นร่องให้น้ำลงไปขังได้.

30.12.51


Ecopolis: it’s not a real city, but it is a realistic vision of what our cities might be like by the year 2050. And it’s not pretty – the computer-generated megacity Ecopolis is dirty, polluted, running out of food, water and fuel, and prone to blackouts.


Discovery Channel’s ground breaking six-part series Ecopolis takes a look at key data and a possible model that experts have come up with for urban life in 2050. Hosted by Professor Dan Kammen, “Ecopolis” will address various threats to the future city and takes a look at possible solutions. Ecopolis premieres on Discovery Channel’s Planet Green block every Wednesday at 2200 hours (10:00 pm PHL), starting December 3. Encores on Thursday at 0100 hours (1:00 am) and Sunday at 0300 hours (3:00 am).


Professor Dan Kammen is a Berkeley Energy Professor and key member of a Nobel-prize winning team of scientists that advises governments on climate change. Dan Kammen is one of the world’s leading thinkers on climate change and how to avoid it. As a key author of the report for the UN’s Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC), his ground-breaking research was recently awarded the Nobel Peace Prize by the Nobel Committee.


Kammen is convinced that renewable energy alternatives will play a critical role in world energy markets of the future, and he has briefed decision-makers at the highest level, from the US House and Senate committees, to International Development agencies and the World Bank. He is determined that the world’s fuel mix be reversed to reduce our reliance on fossil fuels and avert climate change. Clearly, he is a man on a mission.


On “Ecopolis,” Dan will examine the various environmental problems that we might face as we head into the future – such as food and water shortages, depletion of oil reserves and fossil fuels, pollution, and energy-inefficient buildings. In each of the first five episodes, he will be presented with four competing technologies that could solve the problem addressed. Helped by number-crunchers from green think-tank The Centre for Alternative Technology, Dan must choose just one winning idea to deploy in the future city – without trashing the planet. In the sixth and final episode, Dan will put the top five technologies from the series in a head-to-head contest to find the single innovation with the greatest potential to transform the imaginary “Ecopolis.”


Find out about the revolutionary technologies that could rewrite the future – from atomising garbage at extreme temperatures and utilising the resulting gases as fuel, to harnessing photovoltaic solar energy that could transform the buildings of “Ecopolis” into mini power-stations, these solutions just might be able to turn future cities into places we can look forward to living in.


For the first episode which premieres this Wednesday, December 3 at 2200 hours (10:00pm SIN/HK), “Ecopolis” talks about the “Hungry City.”


As people move into cities and earn more, they eat more exotic produce, and high protein food like meat and dairy. Today, the average bite of food travels 1500 miles, racking up carbon emissions in the process. By 2050, food will have to travel even further, and fresh water will be in short supply. And these aren’t the only problems that cities like “Ecopolis” will face. Meat and dairy products are one of the fastest growing sources of dangerous methane emissions. So how can we solve this impending food and water crisis?


Find out on the first episode of “Ecopolis” this December 3 the four future-thinking food and water technologies Urban Farming, Methane Capture, Sound Powered Refrigeration, and Recycled Water.


Discovery Channel, the flagship network of Discovery Communications, is devoted to creating the highest quality non-fiction programming in the world and remains one of the most dynamic networks on television. First launched in 1985, Discovery Channel now reaches more than 154 million households in Asia-Pacific.


'อีโคโปลิส' พลังขับเคลื่อนอนาคต

อากาศปรวนแปรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มีทีท่าว่าจะเลวร้ายลงเรื่อย ๆ ความพยายามในการพยุงชีวิตของโลกใบนี้ต่อไปจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน


นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล ศ.แดน แคมเมน จำลอง อีโคโปลิส มหานครแห่งอนาคต พิมพ์เขียวที่เป็นไปได้สำหรับชีวิตในเมืองในปี 2050 ขึ้น ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญทำนายว่า ร้อยละ 75 ของคนบนโลกจะอยู่อาศัยในเมืองที่มีลักษณะแบบนี้


พลเมืองอีโคโปลิสจะใช้พลังงานมากกว่าในปัจจุบันสามเท่า และผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าห้าเท่า ความเสียหายของสิ่งแวดล้อม อาจจะแก้ไขให้ดีเหมือนเดิมไม่ได้ ดังนั้นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่กำลังเผชิญโลกของเราคือการหาแหล่งพลังงานที่สะอาด


ทุกวันนี้มีแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำอยู่แล้วคือปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่น แต่อุบัติเหตุอย่างที่เกิดขึ้นที่เชอร์โนบิล ตลอดจนปัญหาในการจัดเก็บกากนิวเคลียร์ให้ปลอดภัยก็ยังทำให้ตัวเลือกนี้น่าสงสัย


เป็นเวลากว่า 50 ปีที่ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นกลายเป็นความฝันของผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน นี่คือวิธีที่ทั้งสะอาด ปลอดภัย และถูก ในการปลดปล่อยพลังงานที่มีปริมาณมหาศาล มันเป็นกระบวนการที่ทำให้ดวงอาทิตย์และดวงดาวต่าง ๆ ส่องแสงร้อนแรงในจักรวาล ปัญหาก็คือเราจะทำให้เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้หรือไม่


ในชนบทของประเทศอังกฤษ ที่ห้องปฏิบัติการเจ็ต ทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติกำลังพยายามสร้างพลังงานในระดับเดียวกับดวงอาทิตย์ขึ้นที่นี่โดยโทคามัค เตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นต้นแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อที่จะสร้างปฏิกิริยาฟิวชั่นขึ้นในห้องปฏิบัติการ นักวิทยาศาสตร์ต้องใช้ไฮโดรเจนชนิดพิเศษที่สามารถหลอมตัวได้ง่ายขึ้น ข่าวดีก็คือแหล่งเชื้อเพลิงนี้มีอยู่ทั่วไป คุณสามารถพบมันได้ในบ้านของคุณ มันคือ ไทรเตียม ซึ่งสกัดจากลิเทียมโลหะที่ใช้ทำแบตเตอรี่นั่นเอง ในขณะที่ดิวทีเรียมก็ได้มาจากน้ำธรรมดา ๆ


ในทางทฤษฎี เชื้อเพลิงชนิดนี้หนึ่งคันรถบรรทุกอาจจะให้พลังงานแก่อีโคโปลิสได้ถึงหนึ่งทศวรรษ นั่นก็หมายถึงจะมีกากนิวเคลียร์น้อยกว่า การใช้ปฏิกิริยาฟิวชั่นธรรมดามาก เช่นเดียวกับการแผ่รังสีอันตรายที่จะเกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยว นิดเดียว แต่การทำให้เกิดปฏิกิริยาฟิวชั่นก็ไม่ใช่กระบวนการง่าย ๆ


ดวงอาทิตย์ สุดยอดสถานีพลังงานธรรมชาติ คือ เตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นขนาดใหญ่ยักษ์ ประกอบด้วยพลาสมาซึ่งเป็นทะเลเรืองแสงของอนุภาคประจุไฟฟ้า มีไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ ลึกเข้าไปในแกนกลางดวงอาทิตย์ แรงโน้มถ่วงจะบีบพลาสมาและทำให้ร้อนที่อุณหภูมิ 27 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ ภายใต้สภาวะสุดโต่งนี้ อนุภาคไฮโดรเจนจะบีบอัดเข้าหากันและหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นธาตุใหม่คือฮีเลียม และปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา


ทีมเจ็ตต้องเร่งความร้อนขึ้นจนถึง 270 ล้านองศาฟาเรนไฮต์ หรือร้อนกว่าใจกลางดวงอาทิตย์สิบเท่า โดยต้องรักษาระดับอุณหภูมินี้ไว้และแน่ใจว่าพลาสมาจะไม่ลามไปถึงด้านที่เป็นเหล็กกล้าของเตาปฏิกรณ์โทคามัค เพราะมันจะทำให้พลังงานความร้อนกระจัดกระจาย และยุติปฏิกิริยาฟิวชั่นลง ในที่สุด


แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำให้อนุภาคพลาสมาร้อนจัดวิ่งเข้าหากันด้วยความเร็ว 10,000 ไมล์ต่อวินาที กระทบกันแล้วหลอมรวมเข้าด้วยกัน เหมือนกับที่เกิดในดวงอาทิตย์ จนเกิดก๊าซฮีเลียมและพลังงานความร้อนปริมาณที่สุดจะคำนวณได้ แต่การที่พลาสมาเผาไหม้ทำให้ขดลวดแม่เหล็กต้องทำงานหนัก และถ้าร้อนจนเกินขีดก็จะหลอมละลายในที่สุด เตาปฏิกรณ์โทคามัคสามารถเดินเครื่องได้ประมาณ 30 วินาที


ทีมเจ็ตอาจจะทำให้เกิดพลังในระดับเดียวกับดาวฤกษ์ได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทำให้มันอยู่ได้นาน และตั้งแต่ทดลองมา เตาปฏิกรณ์ไม่เคยเดินเครื่องอยู่ได้นานพอที่จะปลดปล่อยพลังงานออกมาให้สมกับพลังงานที่ใช้ไปได้ เครื่องไอเทอร์ เตาปฏิกรณ์ขนาดยักษ์ที่ใหญ่กว่าสิบเท่า แม่เหล็กพลังสูงของไอเทอร์เก็บความร้อนของพลาสมาได้มีประสิทธิภาพกว่าและทนต่ออุณหภูมิที่สูงกว่าจึงน่าจะเป็นความหวังที่อาจเป็นไปได้


แต่การหวังที่พลังงานอย่างใดอย่างหนึ่งอาจส่งผลเสียในภายหลัง นักวิทยาศาสตร์จึงมองไปที่โรงไฟฟ้าลอยฟ้าขนาดเล็กสำหรับบ้านทุกหลังคาเรือนที่เราใช้ประโยชน์จากลมมาหลายพันปีแล้วในพื้นที่ชนบท แต่สำหรับในเมืองที่ลมไม่ค่อยจะพัดผ่านอาจเป็นเรื่องยาก แม้ในที่สุดพวกเขาจะทำจนสำเร็จแต่ศูนย์คาร์บอนระบุว่า มันจะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้เพียงร้อยละ 0.13 เท่านั้น


การนำพลังงานจากถ่านหินซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็นพลังงานสกปรก ณ วันนี้ เพราะแต่ละปีโรงไฟฟ้าถ่านหินจะปล่อยกำมะถันซึ่งทำให้เกิดฝนกรดถึง 10,000 ตัน นอกจากนี้ยังมีไนโตรเจนอีก 10,000 ตัน ก๊าซพิษที่ทำให้เกิดควันเผาปอด และที่ร้ายกาจที่สุดก็คือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 4 ล้านตัน


ห้องกักเก็บคาร์บอนที่สมบูรณ์แบบใต้พื้นผิวโลกในชั้นหินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซธรรมชาติ ชั้นหินหนาทึบที่กักก๊าซธรรมชาติเอาไว้นับล้านปีจนกระทั่งถูกค้นพบและขุดเจาะนำไปทำเป็นเชื้อเพลิง จึงอาจจะเปลี่ยนสภาพมาเป็นสุสานของคาร์บอนไดออกไซด์ในที่สุด ซึ่งหากนี่เป็นหนทางที่เป็นไปได้ การดักจับและจัดเก็บคาร์บอนอาจจะลดการปล่อยคาร์บอนจากพลังงานที่ใช้ลงได้มากถึงร้อยละ 83 มากกว่าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ช่วยลดคาร์บอนได้เพียงร้อยละ 13


ติดตามชมสารคดีใหม่ 6 ตอนจบชุด Ecopolis : Powering The Future ได้ในดิสคอฟเวอรี แชนแนล พุธที่ 31 ธันวาคม 2551 เวลา 22.00 น. ทางทรูวิชั่นส์ 51.

Cold Sore Virus Linked To Alzheimer's Disease

เขียนโดย RedAngel ที่ 08:53

21.12.51

The virus behind cold sores is a major cause of the insoluble protein plaques found in the brains of Alzheimer's disease sufferers, University of Manchester researchers have revealed.

They believe the herpes simplex virus is a significant factor in developing the debilitating disease and could be treated by antiviral agents such as acyclovir, which is already used to treat cold sores and other diseases caused by the herpes virus. Another future possibility is vaccination against the virus to prevent the development of the disease in the first place.

Alzheimer's disease (AD) is characterised by progressive memory loss and severe cognitive impairment. It affects over 20 million people world-wide, and the numbers will rise with increasing longevity. However, despite enormous investment into research on the characteristic abnormalities of AD brain - amyloid plaques and neurofibrillary tangles - the underlying causes are unknown and current treatments are ineffectual.

Professor Ruth Itzhaki and her team at the University's Faculty of Life Sciences have investigated the role of herpes simplex virus type 1 (HSV1) in AD, publishing their very recent, highly significant findings in the Journal of Pathology.

Most people are infected with this virus, which then remains life-long in the peripheral nervous system, and in 20-40% of those infected it causes cold sores. Evidence of a viral role in AD would point to the use of antiviral agents to stop progression of the disease.

The team discovered that the HSV1 DNA is located very specifically in amyloid plaques: 90% of plaques in Alzheimer's disease sufferers' brains contain HSV1 DNA, and most of the viral DNA is located within amyloid plaques. The team had previously shown that HSV1 infection of nerve-type cells induces deposition of the main component, beta amyloid, of amyloid plaques. Together, these findings strongly implicate HSV1 as a major factor in the formation of amyloid deposits and plaques, abnormalities thought by many in the field to be major contributors to Alzheimer's disease.

The team had discovered much earlier that the virus is present in brains of many elderly people and that in those people with a specific genetic factor, there is a high risk of developing Alzheimer's disease.

The team's data strongly suggest that HSV1 has a major role in Alzheimer's disease and point to the usage of antiviral agents for treating the disease, and in fact in preliminary experiments they have shown that acyclovir reduces the amyloid deposition and reduces also certain other feature of the disease which they have found are caused by HSV1 infection.

Professor Itzhaki explains: "We suggest that HSV1 enters the brain in the elderly as their immune systems decline and then establishes a dormant infection from which it is repeatedly activated by events such as stress, immunosuppression, and various infections.

"The ensuing active HSV1 infection causes severe damage in brain cells, most of which die and then disintegrate, thereby releasing amyloid aggregates which develop into amyloid plaques after other components of dying cells are deposited on them."

Her colleague Dr Matthew Wozniak adds: "Antiviral agents would inhibit the harmful consequences of HSV1 action; in other words, inhibit a likely major cause of the disease irrespective of the actual damaging processes involved, whereas current treatments at best merely inhibit some of the symptoms of the disease."

The team now hopes to obtain funding in order to take their work further, enabling them to investigate in detail the effect of antiviral agents on the Alzheimer's disease-associated changes that occur during HSV1 infection, as well as the nature of the processes and the role of the genetic factor. They very much hope also that clinical trials will be set up to test the effect of antiviral agents on Alzheimer's disease patients.

แผลพุพองเป็นลางบอกเหตุ สงสัยจะเสี่ยงโรคสมองเสื่อม

นักวิจัยได้หลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่า การเกิดแผลพุพองที่ริมฝีปาก ทำให้เจ้าตัวตกอยู่ในความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม

นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ของอังกฤษกล่าวว่า ไวรัสที่ทำให้เป็นเริม เป็นตัวการใหญ่ ทำให้เกิดคราบโปรตีนจับที่สมอง ดังที่พบอยู่ในผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ในทางตรงกันข้าม การค้นพบก็ทำให้รู้ว่าพวกยาต้านไวรัส ที่ใช้รักษาแผลพุพองเหล่านั้น ก็อาจใช้ในการป้องกันโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน
ศาสตราจารย์รูธ อิตซากี้ กับคณะ ได้ค้นพบหลักฐานดีเอ็นเอ อันเป็นสารพันธุกรรมของไวรัสเริม แบบที่ 1 ใน คราบสมองของ ผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมถึงร้อยละ 90 และได้สรุปว่า การค้นพบส่อให้เห็นอย่างแข็งแรงว่า ไวรัสที่ทำให้เกิดแผลพุพอง เป็นสาเหตุอันเป็นรากฐานของโรคสมองเสื่อม

อาจารย์รูธอธิบายให้ฟังว่า “เราเชื่อว่าเชื้อไวรัสเริมแบบที่ 1 เข้าสู่สมองของผู้สูงอายุ ในยามที่ระบบภูมิคุ้มกันโรคเสื่อมโทรมลง ฝังตัวก่อการอักเสบขึ้นเงียบๆ และเมื่อผู้นั้นเกิดเครียด หรือภูมิคุ้มโรคอ่อนแอลง ก็จะไปปลุกมันขึ้นหนแล้วหนเล่า”.

Skinny models don't necessarily sell more products

เขียนโดย RedAngel ที่ 03:45

25.11.51

Advertising that uses super-thin models does not make women more likely to buy products than ads featuring women who are of a more healthy weight, according to research by an Australian academic.
Do skinny models sell more products? **Vote** and have your say in our poll.
Phillippa Diedrichs, of the University of Queensland, created a series of ads

The Sydney Morning Herald reports that when Diedrichs showed the ads to 400 young people, she found no difference in the likelihood of respondents buying the advertised products depending on whether they had seen the skinnier ad or the one showing the bigger woman.

She did report, however, that women aged between 18 and 25 felt better about their own body image if they had viewed the images of the larger models than those shown the thinner women.
She told the SMH: "For anything to change, research has to be convincing not just to government and health researchers but also to people in advertising who actually make the decisions. Often people make the argument that thinness sells, and that's why they use [slim models]."

Unilever brand Dove has also made a big deal of its campaign using "real women" and highlighting how much imagery in advertising is manipulated.

The company has subsequently been criticised for using more traditional imagery to promote other brands, such as Lynx/Axe deodorant, which feature a succession of skinny models.
There have been concerted campaigns to cut back on the use of ultra-thin "size zero" models, with fashion weeks in Madrid and Milan attempting to ensure that all the models appearing on the catwalk are of a weight that is deemed healthy by the Body Mass Index measure.
However, fashion editors maintain that they must use thin models because clothing companies supply samples in small sizes.

หมดยุคของนางแบบเอวบาง ศึกษาพบนางแบบผอมไม่ชวนซื้อของ

นักจิตวิทยาฟิลิปปา ไดดริชส์ หัวหน้าคณะเปิดเผยผลการศึกษาแสดงว่า ภาพของนางแบบที่ผอมบาง ไม่อาจไปกระตุ้นให้สาวรุ่น คิดที่จะซื้อได้เลย และยิ่งกับสาวที่เป็นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่แล้ว กลับไม่ชอบใจเอาด้วยซ้ำตรงกันข้าม ภาพของนางแบบที่มีน้ำมีนวล กลับให้ผลดีมากกว่า

เขากับคณะได้ทดลอง โดยสร้างภาพโฆษณาสินค้าชุดชั้นใน แชมพูและชุดไปงานเลี้ยงของสตรี โดยใช้นางแบบเอวบางร่างน้อยขนาดไซส์ 8 หนึ่งชุด และนางแบบขนาดไซส์ 12 อีกหนึ่งชุด เอาไปให้สาวรุ่นจำนวน 400 คนดู ปรากฏว่าคนเหล่านั้นไม่ได้แสดงความสนใจว่าจะซื้อหาเลย ครั้นพอเอามาให้สาวรุ่นโต วัยระหว่าง 18-25 ปีให้ดูบ้าง เมื่อเห็นชุดที่ใช้นางแบบที่รูปร่างขนาดใหญ่ขึ้นหน่อย ค่อยเกิดความสนใจขึ้นมาบ้าง.

Bug-Sized Spies

เขียนโดย RedAngel ที่ 03:12



If only we could be a fly on the wall when our enemies are plotting to attack us. Better yet, what if that fly could record voices, transmit video and even fire tiny weapons?

That kind of James Bond-style fantasy is actually on the drawing board. U.S. military engineers are trying to design flying robots disguised as insects that could one day spy on enemies and conduct dangerous missions without risking lives.

"The way we envision it is, there would be a bunch of these sent out in a swarm," said Greg Parker, who helps lead the research project at Wright-Patterson Air Force Base in Dayton. "If we know there's a possibility of bad guys in a certain building, how do we find out? We think this would fill that void."

In essence, the research seeks to miniaturize the Unmanned Aerial Vehicle drones used in Iraq and Afghanistan for surveillance and reconnaissance.

The next generation of drones, called Micro Aerial Vehicles, or MAVs, could be as tiny as bumblebees and capable of flying undetected into buildings, where they could photograph, record, and even attack insurgents and terrorists.

By identifying and assaulting adversaries more precisely, the robots would also help reduce or avoid civilian casualties, the military says.

Parker and his colleagues plan to start by developing a bird-sized robot as soon as 2015, followed by the insect-sized models by 2030.
The vehicles could be useful on battlefields where the biggest challenge is collecting reliable intelligence about enemies.

"If we could get inside the buildings and inside the rooms where their activities are unfolding, we would be able to get the kind of intelligence we need to shut them down," said Loren Thompson, a defense analyst with the Lexington Institute in Arlington, Va.

Philip Coyle, senior adviser with the Center for Defense Information in Washington D.C., said a major hurdle would be enabling the vehicles to carry the weight of cameras and microphones.
"If you make the robot so small that it's like a bumblebee and then you ask the bumblebee to carry a video camera and everything else, it may not be able to get off the ground," Coyle said.
Parker envisions the bird-sized vehicles as being able to spy on adversaries by flying into cities and perching on building ledges or power lines. The vehicles would have flappable wings as a disguise but use a separate propulsion system to fly.

"We think the flapping is more so people don't notice it," he said. "They think it's a bird."
Unlike the bird-sized vehicles, the insect-sized ones would actually use flappable wings to fly, Parker said.

He said engineers want to build a vehicle with a 1-inch wingspan, possibly made of an elastic material. The vehicle would have sensors to help avoid slamming into buildings or other objects.
Existing airborne robots are flown by a ground-based pilot, but the smaller versions would fly independently, relying on preprogrammed instructions.

Parker said the tiny vehicles should also be able to withstand bumps.
"If you look at insects, they can bounce off of walls and keep flying," he said. "You can't do that with a big airplane, but I don't see any reason we can't do that with a small one."
An Air Force video describing the vehicles said they could possibly carry chemicals or explosives for use in attacks.

Once prototypes are developed, they will be flight-tested in a new building at Wright-Patterson dubbed the "micro aviary" for Micro Air Vehicle Integration Application Research Institute.
"This type of technology is really the wave of the future," Thompson said. "More and more military research is going into things that are small, that are precise and that are extremely focused on particular types of missions or activities."

สร้างฝูงแมลงหุ่นยนต์ ปล่อยบินยกโขยงรุมโจมตีข้าศึกในตึก

ทหารช่างสหรัฐฯ กำลังคิดออกแบบหุ่นยนต์รูปแมลง ที่ปล่อยให้บินไปสืบความลับศัตรู และปฏิบัติการเสี่ยงอันตราย โดยไม่ต้องเอาชีวิตของทหารไปเสี่ยงภัยได้
ผู้มีส่วนร่วมในโครงการ นายเกรก ปาร์เกอร์ เปิดเผยว่า “เรามองเห็นว่า จะประดิษฐ์มันขึ้น และปล่อยมันออกไปเป็นฝูงขึ้นได้ในวันหน้า” และเสริมว่า “อย่างเช่น เรารู้ว่ามีผู้ร้ายอยู่ในอาคารหลังหนึ่ง เราจะหาได้อย่างไร เราคิดว่าจะทำได้ด้วยวิธีนี้”

ในทางปฏิบัติแล้ว นักวิจัยคิดจะพยายามย่อขนาดเป้าบินไร้พลขับ ที่ใช้อยู่ในอิรักและ อัฟกานิสถาน ในการบินตรวจตราและตรวจการณ์ ให้มีขนาดเล็กจิ๋ว อย่างเช่นเป้าบินรุ่นใหม่อาจจะมีขนาดโตเท่ากับแมลงภู่ สามารถบินเข้าไปในอาคารโดยไม่มีใครจับได้ ให้ไปถ่ายภาพ บันทึกเสียง และ แม้แต่เข้าโจมตีผู้ก่อการร้าย
นายปาร์เกอร์กับทีมของเขาซึ่งปฏิบัติงานอยู่ที่ฐานทัพอากาศไรท์ แพทเตอร์สัน ที่เมืองเดย์ตัน ตั้งเป้าไว้ว่าจะพัฒนายานหุ่นยนต์บินขนาดเท่ากับนก ให้เสร็จในปี พ.ศ. 2558 และพัฒนาให้ เล็กลงโตเท่าแมลง ให้ได้ภายในปี พ.ศ. 2573.

When You Look at a Face, You Look Nose First

เขียนโดย RedAngel ที่ 08:48

2.11.51

While general wisdom says that you look at the eyes first in order to recognize a face, UC San Diego computer scientists now report that you look at the nose first.

The nose may be the where the information about the face is balanced in all directions, or the optimal viewing position for face recognition, the researchers from UC San Diego's Jacobs School of Engineering propose in a paper recently published in the journal Psychological Science.

The researchers showed that people first look just to the left of the center of the nose and then to the center of the nose when trying to determine if a face is one they have seen recently. These two visual "fixations" near the center of the nose are all you need in order to determine if a face is one that you have seen just a few minutes before. Looking at a third spot on the face does not improve face recognition, the cognitive scientists found.

Understanding how the human brain recognizes faces may help cognitive scientists create more realistic models of the brain—models that could be used as tools to train or otherwise assist people with brain lesions or cognitive challenges, explained Janet Hsiao, the first author on the Psychological Science paper and a postdoctoral researcher in the computer science department at UC San Diego.

"The nice thing about models like neural nets is that—unlike computer programs—you can lesion them and they still run, which means you can test them in ways you could never test a human brain," said Garrison Cottrell an author on the paper and a computer science professor at UC San Diego's Jacobs School of Engineering.

"Understanding how the brain works is the greatest mystery facing us in this century and that is just what we are trying to do," said Cottrell, who directs the NSF-funded Temporal Dynamics of Learning Center (TDLC) at UC San Diego.

In the experiments reported in Psychological Science, subjects were shown images of faces they had seen a few minutes prior and images of faces they had never seen. The subjects had to decide in a very short time whether they recognized each face or not. Meanwhile, the researchers used eye tracking technology to monitor where on each face the subjects looked—and how long their eyes stayed at each location.

In particular, the researchers employed an innovative eye tracking approach that allowed them to control how many different places on the face subjects could "fix" their eyes before the image disappeared.

When subjects were allowed to fix their eyes on two different face locations, they performed better on face recognition tasks than when they were given the same amount of time but could only look at one spot on the face. Allowing a third for fourth fixation did not improve performance on face recognition tasks.

In the paper, the authors suggest that "...the second fixation has functional significance: to obtain more information from a different location.

" Cottrell expanded on the idea. "The location of the second fixation, like the first, was almost always near the center of the nose. This means you are just shifting the face you are looking at on your retina a bit. This shift changes which neurons are firing in your retina and therefore changes the neurons in the cortex that the visual pattern goes to.

" Psychological Science paper: "Two Fixations Suffice in Face Recognition," by Janet Hui-wen Hsiao and Garrison Cottrell, Department of Computer Science and Engineering, University of California, San Diego.

http://www.cse.ucsd.edu/~jhsiao/publications/Hsiao-Cottrell-Psych-Science-2008.pdf


คบคนให้ดูตรงที่จมูก จะจำได้ว่าเป็นคนเคยรู้จักกันหรือไม่

นักจิตวิทยาอเมริกันได้ตำรามาว่า คนเราจะมองดูคนหนึ่งคนใดว่า เคยรู้จักหรือไม่ โดยจะดูหน้าบริเวณแถวๆจมูกของผู้นั้น

นักจิตวิทยาเจเนต ฮุยเวน เซียว และแกร์ริสัน คอตเทรลล์ แห่งศูนย์การเรียนรู้มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวสรุปว่า ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะจมูกคนเราอาจมีฐานะ “เป็นศูนย์กลางของข้อมูล” เป็นศูนย์ของข้อมูลที่อยู่โดยรอบทุกทิศทุกทาง ในการที่จะจำหน้าคนได้

ทั้งคู่ได้ศึกษาโดยใช้เครื่องจับและบันทึกการเคลื่อนไหวของลูกตา เมื่อเวลาให้คนจับตาดูใบหน้าของอาสาสมัคร

นักวิจัยทั้ง 2 ได้รายงานผลการศึกษาในวารสารวิชาการ “จิตวิทยาศาสตร์” ว่า คนเราจะจับตาดู 2 แห่งแรกบนใบหน้าคน อยู่แถวๆจมูก โดยแห่งแรกจะอยู่เหนือขึ้นไปทางข้างจมูกด้านซ้ายเล็กน้อย ซึ่งเคยมีการศึกษาเมื่อก่อนหน้านี้ ส่อว่าเรามักจะจับดูที่ตาคนอื่นก่อน แต่ในการศึกษาครั้งใหม่นี้ ส่อว่าจะยังไม่เป็นเช่นนั้น จนกว่าจะจับตาดูแห่งที่ 3 มาแล้ว ถึงจะมองดูที่ตา.