Wouldn't it be nice to have a portable home without the stigma attached to RVs? That's sort of, well, not really, the idea behind this walking house, designed by Danish art collective N55 and MIT engineers. The domicile sits on six hydraulic legs that can move at walking pace over any terrain. The legs are controlled by a computer inside the house, each moves independently and three are always on the ground for stability. The point of it all? Floods! If waters level rise, you just stroll away in your house.
The whole pod is about 10- or 11-feet high (different sources had different stats), contains a living room, toilet, bed, and a kitchen with a wood stove. The point of the whole thing is sustainable living, so the house is solar and wind powered. The whole thing costs just under $50,000, but the designers think it can be made for cheaper to gear it towards people on a modest budget. You may laugh, but according to the news, that could be all of us in like a week.
Seriously, though, we really want to know where you're supposed to park this thing, why it's better than an RV (yes, it's all-terrain but it's slow as hell), and does it come in any other colors? We're partial to something a little lighter. Don't miss the video after the break.
สร้างบ้านอัจฉริยะมีตีน สามารถย้ายเดินหนีน้ำท่วม ได้ด้วยตัวเอง
จิตรกรเดนมาร์กร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์อันมีชื่อเสียงของสหรัฐฯ ออกแบบสร้างบ้านบนเสาสูง 10 ฟุต ติดแผงโซลาร์เซลล์ใช้ไฟฟ้าพลังแสงแดด ซึ่งสามารถเดินเคลื่อนที่หนีภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมไปได้ด้วยตัวเองในภูมิประเทศทุกแห่ง
บ้านมีห้องนั่งเล่น ห้องครัวและห้องน้ำ เตียงนอน และเตาทำครัวใช้ฟืน มีส่วนประกอบที่สำคัญ เป็นเสา 6 ต้น ที่นอกจากรับน้ำหนักตัวบ้านแล้ว ยังจะทำหน้าที่เหมือนกับเป็นขาอีกด้วย โดยติดด้วยระบบไฮดรอลิกได้ประกอบขึ้นที่แถบชนบทของแคมบริดเชียร์ ที่ศูนย์ศิลปะไวซิ่ง ในเมืองเบิร์น ของอังกฤษ มันสามารถจะเดินเคลื่อนที่หนีภัยธรรมชาติอย่างอุทกภัย ได้เองในแทบทุกภูมิประเทศ
คณะผู้ออกแบบ ได้ประมาณว่าต้องใช้งบในการ ก่อสร้างตกหลังละประมาณ 1,290,000 บาท แต่หากสร้างเป็นจำนวนมากอาจจะมีราคาต่ำกว่านี้ได้ นักออกแบบนายหนึ่งบอกว่า “บ้านแบบนี้ไม่เหมาะกับผู้เดินทาง หากเหมาะกับคนที่สนใจในการมีชีวิตแบบเร่ร่อนมากกว่า”.
It's me
Visitor
My Time
28.10.51
23.10.51
The least creative time in the day is 4.33pm, with 92 per cent of people admitting to feeling uninspired in the afternoon.
The poll of 1,426 people showed that a quarter of us stay up late burning the midnight oil when seeking inspiration.
Taking a shower is the most popular way of getting our creative juices flowing, with 44 per cent of us heading beneath the nozzle when in need of a mental breakthrough.
It appears that bathrooms have a key role to play in bringing on brainwaves. Greek scientist Archimedes is reported to have shouted "Eureka!" ("I have found it!") after the spillage of water from his bath helped him understand how to measure volume.
The research also showed that 58 per cent of people forget their best ideas by failing to write them down immediately, although women are more successful at keeping note of their brainwaves.
A third of all people polled aged 35 or more choose to write notes on the backs of their hands, the poll by the Crowne Plaza hotel chain showed.
เผยฤกษ์เมื่อสวรรค์บันดาล เกิดนึกความคิดอ่านดีๆขึ้นมาได้เอง
ผลจากการสำรวจความคิดเห็นที่ทำในอังกฤษ เปิดเผยให้ ทราบว่า สวรรค์มักจะบันดาลให้คนเราเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมา เมื่อเวลาสี่ทุ่มกับอีก 4 นาที มากที่สุด
ขณะเดียวกัน คนเรามักจะรู้สึกสมองทึบ เมื่อหลังกินข้าวกลางวันเป็นต้นไป บรรดาพนักงานบริษัทธุรกิจต่างๆ พากันบ่นว่า คิดแก้ปัญหาอะไรไม่ออกเลย โดยเฉพาะในช่วงเวลา 14.33 น. มีผู้สารภาพว่า รู้สึกหัวตื้อไปหมดถึงร้อยละ 92
การสำรวจได้ถามความคิดเห็นจากประชาชน 1,426 คนด้วยกัน ส่วนใหญ่เล่าว่ามักจะนอนกันดึกราวเวลาเที่ยงคืน เพราะมันทำให้เกิดความคิดอะไรดีๆขึ้นมาได้ และถ้าหากยังรู้สึกว่าสมองยังตันอยู่ ก็จะหันเข้าอาบน้ำให้สบายเนื้อสบายตัวเสีย
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ มีคนเกือบถึงร้อยละ 58 ที่บ่นว่า พอนึกอะไรขึ้นมาได้แล้ว ก็มักจะลืมไปเสีย ลืมที่จะรีบจดเอาไว้ แม้จะมีผู้หญิงมักจะทำกันอยู่มากกว่าผู้ชาย.
21.10.51
The bones, thought to be from a mother and baby, had characteristic lesions that indicate tuberculosis (TB), and the presence of the disease was confirmed by DNA analysis. The findings, published in the journal PLoS One, support the theory that bovine TB evolved later than human TB.
"What is fascinating is that the infecting organism is definitely the human strain of tuberculosis, in contrast to the original theory that human TB evolved from bovine TB after animal
"This gives us the best evidence yet that in a community with domesticated animals, but before dairying, the infecting strain was actually the human pathogen. The presence of large numbers of animal bones shows that animals were an important food source, and this probably led to an increase in the human population that helped the TB to be maintained and spread," Donoghue said.
She and her colleagues "were also able to show that the DNA of the strain of TB in these skeletons had lost a particular piece of DNA which is characteristic of a common family of strains present in the world today. The fact this deletion had occurred 9,000 years ago gives us a much better idea of the rate of change of the bacterium over time, and indicates an extremely long association with humans."
The findings provide more information about how TB has evolved over thousands of years and improves understanding of how it may change in the future.
"Examining ancient human remains for the markers of TB is very important, because it helps to aid our understanding of prehistoric tuberculosis and how it evolved. This then helps us improve our understanding of modern TB and how we might develop more effective treatments," study co-leader Dr. Mark Spigelman, also of University College London, said in the news release.
พบหลักฐานเชื้อวัณโรคเก่าแก่ อยู่บนโลกมาถึง 9,000 ปี
นักวิทยาศาสตร์พบว่าโรควัณโรคนั้นเกิดขึ้น มาบนโลกตั้งแต่เมื่อ 9,000 ปีก่อน จากหลักฐานกระดูกมนุษย์ที่ชายฝั่งอิสราเอล นับว่าเป็นหลักฐานที่เก่ากว่าเดิมอย่างน้อย 3,000 ปี
เหล่านักวิจัยหวังว่าการค้นพบว่าวัณโรคมีวิวัฒนาการของโรคอย่างไรในช่วงเวลาหลายพันปีที่ผ่านมานั้น จะช่วยในการทำความเข้าใจโรคนี้ได้ดีขึ้น ที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ทีมนักวิจัยนานาชาติ ซึ่งรวมถึงนักวิจัยมหาวิทยาลัยเทอาวีฟ ในอิสราเอล รายงานในวารสารวิชาการ พับลิค ไลบรารี ออฟ ไซเอินซ์ พบกระดูกมนุษย์ที่น่าจะเป็นกระดูกของแม่กับทารกที่ฝังอยู่ในหมู่บ้านใต้ดินริมชายฝั่งไฮฟา เมื่อนำไปวิเคราะห์ดีเอ็นเอแล้วพบว่า โครงกระดูกอายุ 9,000 ปีนั้นติดเชื้อวัณโรค เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าเป็นสายพันธุ์ชนิดเดียวกับที่พบในมนุษย์เท่านั้นและยังคล้ายคลึงกับแบคทีเรียทั่วไป ที่ติดเชื้อวัณโรคในปัจจุบัน
เฮเลน โดโนฮิว นักวิจัยมหาวิทยาลัยคอลเลจ ที่ลอนดอน ผู้ร่วมศึกษาครั้งนี้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มี หลักฐานสายพันธุ์วัณโรคที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ในกลุ่มของ อียิปต์ที่ย้อนหลังไปประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล อนึ่ง วัณโรคนั้นเป็นโรคที่มีการติดเชื้อที่ปอด เป็นโรคที่เคยควบคุมได้แต่กลับมาเป็นกันใหม่ และติดเชื้อกันประมาณปีละ 9.2 ล้านคน คร่าชีวิตคนไปราว 1.7 ล้านคนทั่วโลก การกลับมาใหม่ของโรคนี้ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาและยากแก่การรักษามากขึ้น.
17.10.51
It covers all the common parental complaints: The car's speed cannot exceed 80mph. Radio volume is limited to 44 percent of maximum and, if seatbelts aren't fastened, no sound will come from the speakers at all. Extra-careful and/or paranoid parents can place warning sounds at 45, 55, and 65mph, blasting a warning of potential reckless driving to the youthful driver.
Ford realizes this is annoying. Susan Cischke, Ford's group vice president of sustainability, environment and safety engineering even said she hoped to "turn up the annoyance factor a little bit."
MyKey will be introduced as a free standard feature in the 2010 Ford Focus model. Ford hopes to make MyKey a standard feature on all Ford, Lincoln, and Mercury models thereafter.
MyKey is built on ID chips already used in keys to help deter car theft, and evolved through changing software. MyKey tracks only the distance traveled by the car, so while it may seem relatively harmless now, parents who want other features to loom over their children -- such as point-by-point GPS tracking -- may be able to add them on for a fee.
Naturally, teenagers didn't warm up to the idea. After initial testing, 67 percent of teens said they wouldn't want MyKey. The number dropped to 36 percent if greater driving privileges were granted. But they aren't the ones buying the cars . . .
Traffic accidents remain the leading cause of death among teenagers, and Ford has this statistic in mind. I'm uncertain whether a few beeping noises and a speeding cap will make a difference in the long-run, but it's a noble cause.
พัฒนารถรุ่นใหม่ให้แม่มาคุม จำกัดทั้งเสียงดังและ ความเร็ว
อีกไม่นานปีเราจะได้เห็นรถยนต์รุ่นใหม่ที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะสามารถควบคุมโชเฟอร์รุ่นเยาว์ ไม่ให้เร่งความเร็วเกินกำหนดได้แล้ว
ระบบควบคุมดังกล่าวมีชื่อว่า “มายคีย์” ซึ่งบริษัทรถยนต์ ฟอร์ดพัฒนาขึ้น เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถควบคุมความเร็วสูงสุดของรถยนต์และคุมไม่ให้เครื่องเสียงส่งเสียงดังเกินไป พร้อมทั้งยังมีสัญญาณเตือนหากไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย
องค์ประกอบหลักของมายคีย์อยู่ที่การจำกัดความเร็วสูงสุดของรถยนต์ให้ไม่เกิน 80 ไมล์ต่อชั่วโมง พร้อมกันนี้ยังตั้งสัญญาณเตือนได้หากความเร็วเกิน 45, 55 หรือ 65 ไมล์ต่อชั่วโมง ผู้ผลิตบอกว่าจะมีการบิลท์อินไอดีชิปลงไปที่กุญแจรถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในกุญแจที่ป้องกันการขโมยรถ
จิม บุซโควสกี ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมระบบไฟฟ้า กล่าวว่า “มันเป็นการนำเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วมาใช้ ผ่านซอฟต์แวร์มหัศจรรย์ เราสามารถจะเสริมแต่งการทำงานลงไปบนสิ่งที่มีอยู่แล้ว”
ทางบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่วางแผนว่า จะนำระบบมายคีย์ มาใช้กับรถยนต์ฟอร์ด โฟกัส คอมแพค ซึ่งจะออกจำหน่ายในปี พ.ศ.2553
ด้านแอนน์ แม็คคาร์ท รองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัย ของสถาบันประกันความปลอดภัยบนท้องถนน สหรัฐอเมริกา บอกกับสำนักข่าวเอพีว่า จากงานวิจัยที่ทำมาแสดงให้เห็นว่าความเร็วเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กลุ่มวัยรุ่นขับรถชน โดยเฉพาะกลุ่มมือใหม่ ดังนั้น ระบบที่พยายามจะแก้ไขพฤติกรรมในการเร่งความเร็วจะ มีศักยภาพพอที่จะปรับปรุงเรื่องความปลอดภัยได้.